ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา หลายๆคนคงเห็นข่าวการปิดตัวของหน้าร้านหรือสาขา แล้วย้ายช่องทางการติดต่อกับลูกค้าไปอยู่บนออนไลน์กันมาขึ้น แต่รู้หรือไม่ครับว่า 90% ของกลุ่มลูกค้าออนไลน์และยอมจ่ายค่าส่งในราคาแพงนั้น อาจจะเปลี่ยนใจ ยกเลิกคำสั่งซื้อได้ง่าย ๆ หากลูกค้ายังตั้งรอสินค้านานกว่า 2 วัน
วันนี้ Sellsuki จะพามารู้จักกับโมเดล BOPIS ที่จะมาช่วยเติมเต็มปัญหานี้ครับ
BOPIS ย่อมาจาก ‘Buy Online, Pick Up in Store’ มีไว้สำหรับแก้ปัญหาลูกค้าที่ไม่สามารถไปเลือกสินค้าเองได้ที่หน้าร้าน และไม่ต้องการรอสินค้ามาส่ง นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นให้เกิด Traffic ของผู้บริโภคที่มาหน้าร้านค้าของคุณมายิ่งขึ้นอีกด้วย
เมื่อผู้บริโภคต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อสินค้า BOPIS เป็นกุญแจสำคัญในการอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกรายการที่ต้องการซื้อได้ทันทีและรายการใดที่ควรค่าแก่การรอคอย
การเลือกซื้อสินค้าที่บนหน้าเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น ก่อนไปที่ร้านค้าถือเป็นจุดเด่นของโมเดลนี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องเสียเวลาและสามารถค้นหาสินค้าที่พวกเข้าสนใจได้ ไม่ว่าจะจากที่ไหนก็ตาม
หลังจากคำสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบแล้ว ร้านค้าต้องนำคำสั่งซื้อ มาจัดเตรียมระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนดว่าจะเข้ามารับหรือลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้ออีกครั้ง
ทางร้านค้าสามารถจัดเตรียมพื้นที่สำหรับลูกค้าที่จองสินค้าไว้จากบนสื่อออนไลน์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในขั้นตอนของการรับสินค้า และอย่าลืมว่าทุกครั้งที่ลูกค้าก้าวเข้ามาที่หน้าร้านเรา สามารถสร้าง Touch Point เพราะหากลูกค้าสนใจสินค้าชิ้นอื่นๆ อาจจะเพิ่มโอกาสการขายให้กับร้านได้
อย่างที่ทุกคนรู้ช่วงเทศกาลวันหยุด การไปเดินช้อปปิ้งเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ มักจะคึกคักเป็นธรรมดา และที่ผู้คนก็นิยมใช้BOPISเพื่อให้การช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด รวมถึงช่วยลดความแออัดของลูกค้าที่ มักจะมาเลือกสินค้าที่หน้าร้านผ่านการเลือมาจากบนออนไลน์ได้เลย
รู้หรือไม่ครับ ว่านักช็อปออนไลน์มากถึง 65% มองหาเงื่อนไขในการจัดส่งฟรีก่อน แล้วจึงเลือกหยิบสินค้า ใส่รถเข็นของตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม BOPIS จึงเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั้งลูกค้าและคนขายในการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
อย่างที่บอกไปในข้างต้นครับ ว่าการทำ BOPIS นั้นนอกจากจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้ามาที่หน้าร้านเพิ่มขึ้นแล้วยังเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อมากกว่าเดิมได้ เมื่อลูกค้ามาที่ร้าน แล้วเจอสินค้าที่น่าสนใจ ลูกค้าก็มีโอกาสจะหยิบสินค้าไปจ่ายเงินมากกว่าที่เลือกไว้
ร้านค้าสามารถประหยัดค่าขนส่ง รวมถึงต้นทุนค่าอุปกรณ์การแพ็คได้ หากลูกค้ามารับสินค้าจากหน้าร้านด้วยตัวเอง ในขณะที่ทางร้านก็ยังมีตัวเลือกจัดส่งสินค้าได้ หากลูกค้าต้องการ
และทั้งหมดนี้ก็คือโมเดล BOPIS ที่ Sellsuki เอามาฝากเพื่อน ๆ กันครับ หวังว่าบล็อกวันนี้น่าจะนำไปสามารถต่อยอด ดันยอดขายให้ปังได้สำหรับเทศกาลช็อปปิ้งที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีนี้