Header-sellsuki.webp
S E L L S U K I
mdi_eye : 17 ph_share-bold : 0 charm_sound-down
อ่าน

ธุรกิจออนไลน์ยุคนี้ แค่โซเชียลมีเดียอย่างเดียวพอไหม?

ขายของใน Facebook, Instagram, TikTok อาจจะดี แต่ การมีเว็บไซต์ของตัวเอง คือทางลัดให้ธุรกิจโตแบบยั่งยืน! 
แต่เว็บไซต์แบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับธุรกิจของเรา?
แล้วเว็บไซต์ที่เวิร์ก ใช้งานได้จริง ควรเป็นแบบไหน?
วันนี้ Sellsuki มีคำตอบ พร้อมแล้วไปดูกันเลย 

 

3_ประเภทเว็บยอดฮิตในปี_2025-03.jpg
 

ทำไมธุรกิจออนไลน์ต้องมีเว็บไซต์?


ปัจจุบันหลายธุรกิจเริ่มต้นขายของผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok หรือ LINE OA ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีในการเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย แต่การมีแค่ช่องทางเหล่านี้อาจไม่เพียงพอในระยะยาว จึงต้องมีเว็บไซต์เพื่อเป็นตัวช่วยนั่นเอง
เพราะ เว็บไซต์เป็น "ศูนย์กลางดิจิทัล" ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะคุณสามารถ ควบคุมทุกอย่างเองได้ 100% โดยไม่ต้องกังวลว่าแพลตฟอร์มจะเปลี่ยนนโยบายหรือปิดกั้นการเข้าถึงลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
 

1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ


ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าแบรนด์มี เว็บไซต์ที่เป็นทางการ
เป็น ตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ของคุณมีความเป็นมืออาชีพ
มี ข้อมูลธุรกิจ, รีวิวลูกค้า, รายละเอียดสินค้า/บริการ ครบถ้วน
 

ตัวอย่าง:
หากคุณเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าแฟชั่น การมีเว็บไซต์ช่วยให้ลูกค้า ดูคอลเลกชันทั้งหมดได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถอ่านรีวิวจากลูกค้าคนอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ


2. รองรับ SEO ให้คนค้นหาเจอคุณง่ายขึ้นบน Google


เว็บไซต์สามารถ ทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้ติดอันดับบน Google
ช่วยให้ลูกค้า ค้นพบธุรกิจคุณจากการค้นหาผ่าน Google โดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาตลอดเวลา
ถ้าคุณมีบล็อกหรือบทความเกี่ยวกับสินค้า/บริการ โอกาสที่คนจะเจอคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
 

ตัวอย่าง:
ถ้าคุณขาย "สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่าย" แล้วคุณมีบทความในเว็บไซต์เกี่ยวกับ "วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่าย" เมื่อลูกค้าค้นหาเรื่องนี้ใน Google ก็มีโอกาสสูงที่เว็บของคุณจะปรากฏขึ้น และดึงดูดให้ลูกค้าสั่งซื้อ
 

3. ควบคุมทุกอย่างได้เอง ไม่ต้องกังวลเรื่องแพลตฟอร์มเปลี่ยนนโยบาย


โซเชียลมีเดียอาจเปลี่ยนกฎ เช่น ลดการมองเห็นโพสต์ หรือปรับอัลกอริธึม ทำให้เข้าถึงลูกค้ายากขึ้น
หากแพลตฟอร์มปิดบัญชีธุรกิจของคุณกะทันหัน คุณอาจเสียลูกค้าทั้งหมด
เว็บไซต์เป็นของคุณเอง ไม่มีใครสามารถปิดหรือจำกัดการเข้าถึงได้
 

ตัวอย่าง:
มีหลายธุรกิจที่เคยใช้ Facebook เป็นช่องทางหลักในการขายของ แต่เมื่อ Facebook ลด Reach ทำให้โพสต์ขายสินค้า มียอดเข้าถึงน้อยลงกว่าเดิมมาก ส่งผลให้ยอดขายตกทันที
 

4. ช่วยปิดการขายง่ายขึ้น ลูกค้าซื้อสินค้าได้ 24/7


เว็บไซต์ช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอให้แอดมินตอบแชท
สามารถ ตั้งระบบชำระเงินออนไลน์ ได้ ทำให้ลูกค้ากดซื้อและจ่ายเงินได้เลย
เพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้น เพราะลูกค้า สะดวกซื้อเมื่อไหร่ก็ได้
 

ตัวอย่าง:
หากคุณขาย Gadget ออนไลน์ การมีระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าใส่ตะกร้า และจ่ายเงินทันที แทนที่จะต้อง Inbox ไปสอบถาม
 

5. สร้างฐานลูกค้าของตัวเองไม่ต้องพึ่งอัลกอริธึมโซเชียล


เว็บไซต์ช่วยให้คุณ เก็บข้อมูลลูกค้า (Email, เบอร์โทร, พฤติกรรมการซื้อ) เพื่อนำไปทำการตลาดซ้ำ (Retargeting)
ไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียที่อาจเปลี่ยนนโยบายตลอดเวลา
สามารถทำ Email Marketing, SMS Marketing หรือ Chatbot Automation เพื่อดึงลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
 

ตัวอย่าง:
ธุรกิจที่ขายอาหารเสริมสามารถใช้ ระบบสมัครสมาชิก (Subscription Model) เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าทุกเดือนโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสที่ลูกค้าจะลืมซื้อ


แต่เว็บไซต์แบบไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณที่สุด? มาดู 3 ประเภทเว็บไซต์ที่มาแรงในปี 2025 และแนวทางพัฒนาให้เวิร์กที่สุดกัน! 

 

3_ประเภทเว็บยอดฮิตในปี_2025-04.jpg
 

1. E-Commerce Website - เว็บขายของออนไลน์ที่เวิร์กจริงต้องมีอะไร?


E-Commerce Website ที่ดี ไม่ใช่แค่ "ขายได้" แต่ต้อง "ขายดี"
ธุรกิจที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ควรมีระบบที่ ทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำและกลับมาเป็นแฟนประจำ ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มสวยงามเท่านั้น


คุณสมบัติที่ E-Commerce Website ควรมีในปี 2025

AI Personalization  – ระบบแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้แต่ละคนเห็นสินค้าที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายและช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

One-Click Checkout – ลดขั้นตอนการซื้อให้สั้นที่สุด ลูกค้าสามารถกดซื้อและจ่ายเงินได้ภายในคลิกเดียว ไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลซ้ำๆ ลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า

Social Commerce Integration – เชื่อมต่อร้านค้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Shop, Facebook, LINE OA ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้จากทุกช่องทางโดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่

Omnichannel Experience – ระบบที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้จากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้านจริง โดยข้อมูลสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อ และการชำระเงินจะเชื่อมต่อกันหมด ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น

Advanced Analytics & Retargeting – ระบบวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึก เช่น ติดตามว่าลูกค้าคลิกที่สินค้าตัวไหน ใช้เวลากับหน้าเว็บนานเท่าไหร่ จากนั้นนำข้อมูลไปใช้ในการทำโฆษณา Retargeting เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อ


แพลตฟอร์มยอดนิยม


- Shopify (เหมาะกับ SME และธุรกิจเริ่มต้น)
- WooCommerce บน WordPress (คุมค่าใช้จ่ายเองได้ ต้นทุนพัฒนาไม่สูงมาก)
- Magento (เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่)
- LINE MyShop (สำหรับแบรนด์ที่ใช้ LINE เป็นหลัก)
 

เหมาะกับใคร?


- ร้านค้าที่ต้องการ สร้างแบรนด์ของตัวเอง และไม่อยากพึ่ง Marketplace
- ผู้ขายที่ต้องการ กำไรต่อหน่วยสูงขึ้น และไม่ถูกบีบด้วยค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม
- ธุรกิจที่ต้องการ ระบบ CRM เก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อทำ Retargeting
 

3_ประเภทเว็บยอดฮิตในปี_2025-07.jpg

2. Landing Page / Sales Page - แค่หน้าเดียวก็ปิดการขายได้!


เว็บหน้าเดียว แต่ทรงพลัง!
Landing Page คือหน้าเว็บที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ทำ "Action" บางอย่าง เช่น สมัครสมาชิก ดาวน์โหลดไฟล์ หรือซื้อสินค้า โดยมีเป้าหมายเฉพาะและไม่มีสิ่งรบกวนอื่น ๆ เช่น เมนูหรือลิงก์ภายนอกมากเกินไป
 

ตัวอย่างการใช้งานจริง


- ธุรกิจคอร์สเรียนออนไลน์ เสนอโปรโมชั่นและเนื้อหาให้คนสมัครเรียนง่ายขึ้น 
- ธุรกิจบริการ (คลินิก, ที่ปรึกษา, อสังหาฯ)  ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลลูกค้า 
- สินค้าที่มีโปรโมชั่นจำกัดเวลา Flash Sale / Pre-Order 
- หน้าเว็บที่ให้กรอกอีเมลเพื่อรับ E-Book ฟรี 
- หน้าเว็บโปรโมชันที่มีปุ่ม "ลงทะเบียนเลย" 
- หน้าแคมเปญโฆษณาจาก Facebook / Google ที่นำไปสู่หน้าเฉพาะ

คุณสมบัติที่ Sales Page ควรมี


Strong Headline – ข้อความแรกต้องดึงดูดความสนใจในไม่กี่วินาทีแรก ใช้คำที่กระชับ ชัดเจน และกระตุ้นความสนใจ เช่น "ลด 50% วันนี้เท่านั้น!" หรือ "สูตรลับที่ช่วยให้คุณขายดีขึ้น 2 เท่า!"


Visual Storytelling – การใช้ภาพ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิกช่วยเล่าเรื่อง ทำให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและข้อดีได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องอ่านแต่ข้อความยาว ๆ


Proof of Trust – รีวิวจากลูกค้าจริง รูปภาพก่อน-หลัง หรือโลโก้บริษัทที่เคยใช้บริการ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น


Clear Call-to-Action (CTA) – ปุ่มสั่งซื้อต้องโดดเด่น กดง่าย ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดแอคชัน เช่น "ซื้อเลย!", "รับส่วนลดทันที", หรือ "เริ่มต้นใช้งานฟรี"


ระบบเก็บ Lead อัตโนมัติ – หากลูกค้ายังไม่พร้อมซื้อ ควรมีระบบเก็บข้อมูล เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ เพื่อนำไปทำ Remarketing ส่งโปรโมชันหรือข้อมูลเพิ่มเติมกลับไปหาลูกค้าในภายหลัง


A/B Testing – ทดสอบหน้าเว็บหลายเวอร์ชัน เช่น เปรียบเทียบ ปุ่ม CTA สีแดง vs. สีน้ำเงิน, Headline A vs. Headline B เพื่อวัดผลว่าแบบไหนมี Conversion สูงสุด แล้วนำไปปรับใช้เพื่อให้เกิดยอดขายมากขึ้น

เหมาะกับใคร?


- นักการตลาดที่เน้น โฆษณาแบบ Conversion
- ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้า ตัดสินใจซื้อทันที
- สินค้า/บริการที่ต้องการ เน้นจุดขายให้ชัด
 

3_ประเภทเว็บยอดฮิตในปี_2025-08.jpg

 

3. Corporate Website - เว็บไซต์องค์กรที่ดีไม่ใช่แค่โชว์โปรไฟล์ แต่ต้องช่วยธุรกิจโต!


เว็บไซต์องค์กร (Corporate Website) เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เพื่อ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หน่วยงาน หรือสถาบันต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างภาพลักษณ์ สื่อสารข้อมูล และให้บริการแก่ลูกค้า, พาร์ทเนอร์, นักลงทุน ผู้ที่สนใจ หรือแม้กระทั่งพนักงาน

Corporate Website ที่ดีควรมีอะไร?


Company Story ที่ทรงพลัง – บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ไม่ใช่แค่ประวัติการก่อตั้ง แต่ควรเน้นจุดยืนของบริษัท (Brand Values) และวิสัยทัศน์ในอนาคต เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์


SEO Optimized Content – เว็บไซต์ควรมีเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับ SEO เช่น บทความ Blog หรือ Case Study ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google ทำให้ลูกค้าใหม่ค้นหาเจอคุณง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาตลอด


Dynamic Career Page – หน้า "ร่วมงานกับเรา" ไม่ควรเป็นแค่หน้ารายการตำแหน่งงาน แต่ควรมี วัฒนธรรมองค์กร (Company Culture), คำบอกเล่าจากพนักงาน และภาพบรรยากาศการทำงาน เพื่อดึงดูดคนเก่งๆ ให้สนใจสมัครงาน ลดภาระ HR ในการสรรหาบุคลากร


Client Testimonials & Case Studies – รีวิวจากลูกค้าหรือโปรเจกต์ที่สำเร็จช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ ยิ่งมี Case Study ที่แสดงผลลัพธ์จริง เช่น ยอดขายเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หรือปัญหาที่ธุรกิจสามารถช่วยแก้ไขได้ ยิ่งช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจใช้บริการง่ายขึ้น


Chatbot / AI Assistant – ระบบแชทบอทช่วยให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดสินค้า บริการ หรือการติดต่อทีมขาย ช่วยลดภาระของพนักงานและเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย


Lead Capture Forms – ฟอร์มเก็บข้อมูลสำหรับลูกค้าที่สนใจบริการ เช่น แบบฟอร์มขอใบเสนอราคา (Request a Quote), ลงทะเบียนรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือสมัครรับข่าวสาร (Newsletter Signup) ทำให้สามารถนำข้อมูลไปต่อยอดการตลาด เช่น Email Marketing หรือ Retargeting ได้

 

ตัวอย่างการใช้งานจริง


 - B2B Business / เอเจนซี / บริษัทที่ปรึกษา → สร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าองค์กร
- Startup / Tech Company → ใช้เป็นศูนย์กลางข้อมูลนักลงทุนและพาร์ทเนอร์
- บริษัทที่รับสมัครพนักงานจำนวนมาก → ใช้เว็บช่วยกรองและดึงดูด Talent
 

เหมาะกับใคร?


- บริษัทที่ต้องการ เสริมภาพลักษณ์ให้แข็งแกร่ง
- องค์กรที่ต้องการ ลดภาระ HR ในการรับสมัครงาน
- ธุรกิจที่ต้องการ ดึงดูดพาร์ทเนอร์หรือนักลงทุน

 

3_ประเภทเว็บยอดฮิตในปี_2025-09.jpg
 

สรุปธุรกิจที่เหมาะกับเว็บไซต์แต่ละประเภท


ขายสินค้า → ต้องมี E - Commerce Website ที่ช่วยเพิ่มยอดขาย
เน้นโฆษณาขายสินค้าหรือบริการ → ต้องมี Landing Page ที่ปิดการขายได้เร็ว
สร้างความน่าเชื่อถือ + ดึงดูดลูกค้า & พนักงาน → ต้องมี Corporate Website


แล้วคิดว่าเว็บไซต์แบบไหน…ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ?


หากคุณกำลังมองหาเว็บไซต์ที่ไม่ใช่แค่สวย แต่ “ตอบโจทย์ธุรกิจ” ได้จริง เราช่วยคุณได้

Wizemoves Martech พร้อมออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่เข้าใจกลยุทธ์การตลาด ดึงดูดลูกค้า และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจคุณอย่างยั่งยืน

ปรึกษาฟรี กับทีมผู้เชี่ยวชาญของเรา โทรเลยที่ 02-026-3250
หรือ กรอกแบบฟอร์มรับคำปรึกษาฟรีได้ที่นี่  https://www.sellsuki.co.th/solutions/wizemoves#WebsiteDevelopment 

แท็ก AI & MarTeche-CommerceWebsiteTechnologyOnline Business

แชร์

บทความนี้มีประโยชน์กดชอบเป็นกำลังใจให้เราได้
Like this article