ขายของใน Facebook, Instagram, TikTok อาจจะดี แต่ การมีเว็บไซต์ของตัวเอง คือทางลัดให้ธุรกิจโตแบบยั่งยืน!
แต่เว็บไซต์แบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับธุรกิจของเรา?
แล้วเว็บไซต์ที่เวิร์ก ใช้งานได้จริง ควรเป็นแบบไหน?
วันนี้ Sellsuki มีคำตอบ พร้อมแล้วไปดูกันเลย
ปัจจุบันหลายธุรกิจเริ่มต้นขายของผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok หรือ LINE OA ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีในการเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย แต่การมีแค่ช่องทางเหล่านี้อาจไม่เพียงพอในระยะยาว จึงต้องมีเว็บไซต์เพื่อเป็นตัวช่วยนั่นเอง
เพราะ เว็บไซต์เป็น "ศูนย์กลางดิจิทัล" ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะคุณสามารถ ควบคุมทุกอย่างเองได้ 100% โดยไม่ต้องกังวลว่าแพลตฟอร์มจะเปลี่ยนนโยบายหรือปิดกั้นการเข้าถึงลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
ลูกค้ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าแบรนด์มี เว็บไซต์ที่เป็นทางการ
เป็น ตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ของคุณมีความเป็นมืออาชีพ
มี ข้อมูลธุรกิจ, รีวิวลูกค้า, รายละเอียดสินค้า/บริการ ครบถ้วน
ตัวอย่าง:
หากคุณเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าแฟชั่น การมีเว็บไซต์ช่วยให้ลูกค้า ดูคอลเลกชันทั้งหมดได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถอ่านรีวิวจากลูกค้าคนอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ
เว็บไซต์สามารถ ทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้ติดอันดับบน Google
ช่วยให้ลูกค้า ค้นพบธุรกิจคุณจากการค้นหาผ่าน Google โดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาตลอดเวลา
ถ้าคุณมีบล็อกหรือบทความเกี่ยวกับสินค้า/บริการ โอกาสที่คนจะเจอคุณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ตัวอย่าง:
ถ้าคุณขาย "สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่าย" แล้วคุณมีบทความในเว็บไซต์เกี่ยวกับ "วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่าย" เมื่อลูกค้าค้นหาเรื่องนี้ใน Google ก็มีโอกาสสูงที่เว็บของคุณจะปรากฏขึ้น และดึงดูดให้ลูกค้าสั่งซื้อ
โซเชียลมีเดียอาจเปลี่ยนกฎ เช่น ลดการมองเห็นโพสต์ หรือปรับอัลกอริธึม ทำให้เข้าถึงลูกค้ายากขึ้น
หากแพลตฟอร์มปิดบัญชีธุรกิจของคุณกะทันหัน คุณอาจเสียลูกค้าทั้งหมด
เว็บไซต์เป็นของคุณเอง ไม่มีใครสามารถปิดหรือจำกัดการเข้าถึงได้
ตัวอย่าง:
มีหลายธุรกิจที่เคยใช้ Facebook เป็นช่องทางหลักในการขายของ แต่เมื่อ Facebook ลด Reach ทำให้โพสต์ขายสินค้า มียอดเข้าถึงน้อยลงกว่าเดิมมาก ส่งผลให้ยอดขายตกทันที
เว็บไซต์ช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอให้แอดมินตอบแชท
สามารถ ตั้งระบบชำระเงินออนไลน์ ได้ ทำให้ลูกค้ากดซื้อและจ่ายเงินได้เลย
เพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้น เพราะลูกค้า สะดวกซื้อเมื่อไหร่ก็ได้
ตัวอย่าง:
หากคุณขาย Gadget ออนไลน์ การมีระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าใส่ตะกร้า และจ่ายเงินทันที แทนที่จะต้อง Inbox ไปสอบถาม
เว็บไซต์ช่วยให้คุณ เก็บข้อมูลลูกค้า (Email, เบอร์โทร, พฤติกรรมการซื้อ) เพื่อนำไปทำการตลาดซ้ำ (Retargeting)
ไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียที่อาจเปลี่ยนนโยบายตลอดเวลา
สามารถทำ Email Marketing, SMS Marketing หรือ Chatbot Automation เพื่อดึงลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
ตัวอย่าง:
ธุรกิจที่ขายอาหารเสริมสามารถใช้ ระบบสมัครสมาชิก (Subscription Model) เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าทุกเดือนโดยอัตโนมัติ ลดโอกาสที่ลูกค้าจะลืมซื้อ
แต่เว็บไซต์แบบไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณที่สุด? มาดู 3 ประเภทเว็บไซต์ที่มาแรงในปี 2025 และแนวทางพัฒนาให้เวิร์กที่สุดกัน!
E-Commerce Website ที่ดี ไม่ใช่แค่ "ขายได้" แต่ต้อง "ขายดี"
ธุรกิจที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ควรมีระบบที่ ทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำและกลับมาเป็นแฟนประจำ ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มสวยงามเท่านั้น
AI Personalization – ระบบแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้แต่ละคนเห็นสินค้าที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายและช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
One-Click Checkout – ลดขั้นตอนการซื้อให้สั้นที่สุด ลูกค้าสามารถกดซื้อและจ่ายเงินได้ภายในคลิกเดียว ไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลซ้ำๆ ลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า
Social Commerce Integration – เชื่อมต่อร้านค้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok Shop, Facebook, LINE OA ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้จากทุกช่องทางโดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่
Omnichannel Experience – ระบบที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้จากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้านจริง โดยข้อมูลสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อ และการชำระเงินจะเชื่อมต่อกันหมด ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น
Advanced Analytics & Retargeting – ระบบวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึก เช่น ติดตามว่าลูกค้าคลิกที่สินค้าตัวไหน ใช้เวลากับหน้าเว็บนานเท่าไหร่ จากนั้นนำข้อมูลไปใช้ในการทำโฆษณา Retargeting เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อ
- Shopify (เหมาะกับ SME และธุรกิจเริ่มต้น)
- WooCommerce บน WordPress (คุมค่าใช้จ่ายเองได้ ต้นทุนพัฒนาไม่สูงมาก)
- Magento (เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่)
- LINE MyShop (สำหรับแบรนด์ที่ใช้ LINE เป็นหลัก)
- ร้านค้าที่ต้องการ สร้างแบรนด์ของตัวเอง และไม่อยากพึ่ง Marketplace
- ผู้ขายที่ต้องการ กำไรต่อหน่วยสูงขึ้น และไม่ถูกบีบด้วยค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม
- ธุรกิจที่ต้องการ ระบบ CRM เก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อทำ Retargeting
เว็บหน้าเดียว แต่ทรงพลัง!
Landing Page คือหน้าเว็บที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้ทำ "Action" บางอย่าง เช่น สมัครสมาชิก ดาวน์โหลดไฟล์ หรือซื้อสินค้า โดยมีเป้าหมายเฉพาะและไม่มีสิ่งรบกวนอื่น ๆ เช่น เมนูหรือลิงก์ภายนอกมากเกินไป
- ธุรกิจคอร์สเรียนออนไลน์ เสนอโปรโมชั่นและเนื้อหาให้คนสมัครเรียนง่ายขึ้น
- ธุรกิจบริการ (คลินิก, ที่ปรึกษา, อสังหาฯ) ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลลูกค้า
- สินค้าที่มีโปรโมชั่นจำกัดเวลา Flash Sale / Pre-Order
- หน้าเว็บที่ให้กรอกอีเมลเพื่อรับ E-Book ฟรี
- หน้าเว็บโปรโมชันที่มีปุ่ม "ลงทะเบียนเลย"
- หน้าแคมเปญโฆษณาจาก Facebook / Google ที่นำไปสู่หน้าเฉพาะ
Strong Headline – ข้อความแรกต้องดึงดูดความสนใจในไม่กี่วินาทีแรก ใช้คำที่กระชับ ชัดเจน และกระตุ้นความสนใจ เช่น "ลด 50% วันนี้เท่านั้น!" หรือ "สูตรลับที่ช่วยให้คุณขายดีขึ้น 2 เท่า!"
Visual Storytelling – การใช้ภาพ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิกช่วยเล่าเรื่อง ทำให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและข้อดีได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องอ่านแต่ข้อความยาว ๆ
Proof of Trust – รีวิวจากลูกค้าจริง รูปภาพก่อน-หลัง หรือโลโก้บริษัทที่เคยใช้บริการ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
Clear Call-to-Action (CTA) – ปุ่มสั่งซื้อต้องโดดเด่น กดง่าย ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดแอคชัน เช่น "ซื้อเลย!", "รับส่วนลดทันที", หรือ "เริ่มต้นใช้งานฟรี"
ระบบเก็บ Lead อัตโนมัติ – หากลูกค้ายังไม่พร้อมซื้อ ควรมีระบบเก็บข้อมูล เช่น อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ เพื่อนำไปทำ Remarketing ส่งโปรโมชันหรือข้อมูลเพิ่มเติมกลับไปหาลูกค้าในภายหลัง
A/B Testing – ทดสอบหน้าเว็บหลายเวอร์ชัน เช่น เปรียบเทียบ ปุ่ม CTA สีแดง vs. สีน้ำเงิน, Headline A vs. Headline B เพื่อวัดผลว่าแบบไหนมี Conversion สูงสุด แล้วนำไปปรับใช้เพื่อให้เกิดยอดขายมากขึ้น
- นักการตลาดที่เน้น โฆษณาแบบ Conversion
- ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้า ตัดสินใจซื้อทันที
- สินค้า/บริการที่ต้องการ เน้นจุดขายให้ชัด
เว็บไซต์องค์กร (Corporate Website) เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เพื่อ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หน่วยงาน หรือสถาบันต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างภาพลักษณ์ สื่อสารข้อมูล และให้บริการแก่ลูกค้า, พาร์ทเนอร์, นักลงทุน ผู้ที่สนใจ หรือแม้กระทั่งพนักงาน
Company Story ที่ทรงพลัง – บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ไม่ใช่แค่ประวัติการก่อตั้ง แต่ควรเน้นจุดยืนของบริษัท (Brand Values) และวิสัยทัศน์ในอนาคต เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์
SEO Optimized Content – เว็บไซต์ควรมีเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับ SEO เช่น บทความ Blog หรือ Case Study ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google ทำให้ลูกค้าใหม่ค้นหาเจอคุณง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาตลอด
Dynamic Career Page – หน้า "ร่วมงานกับเรา" ไม่ควรเป็นแค่หน้ารายการตำแหน่งงาน แต่ควรมี วัฒนธรรมองค์กร (Company Culture), คำบอกเล่าจากพนักงาน และภาพบรรยากาศการทำงาน เพื่อดึงดูดคนเก่งๆ ให้สนใจสมัครงาน ลดภาระ HR ในการสรรหาบุคลากร
Client Testimonials & Case Studies – รีวิวจากลูกค้าหรือโปรเจกต์ที่สำเร็จช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ ยิ่งมี Case Study ที่แสดงผลลัพธ์จริง เช่น ยอดขายเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หรือปัญหาที่ธุรกิจสามารถช่วยแก้ไขได้ ยิ่งช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจใช้บริการง่ายขึ้น
Chatbot / AI Assistant – ระบบแชทบอทช่วยให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดสินค้า บริการ หรือการติดต่อทีมขาย ช่วยลดภาระของพนักงานและเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
Lead Capture Forms – ฟอร์มเก็บข้อมูลสำหรับลูกค้าที่สนใจบริการ เช่น แบบฟอร์มขอใบเสนอราคา (Request a Quote), ลงทะเบียนรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือสมัครรับข่าวสาร (Newsletter Signup) ทำให้สามารถนำข้อมูลไปต่อยอดการตลาด เช่น Email Marketing หรือ Retargeting ได้
- B2B Business / เอเจนซี / บริษัทที่ปรึกษา → สร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าองค์กร
- Startup / Tech Company → ใช้เป็นศูนย์กลางข้อมูลนักลงทุนและพาร์ทเนอร์
- บริษัทที่รับสมัครพนักงานจำนวนมาก → ใช้เว็บช่วยกรองและดึงดูด Talent
- บริษัทที่ต้องการ เสริมภาพลักษณ์ให้แข็งแกร่ง
- องค์กรที่ต้องการ ลดภาระ HR ในการรับสมัครงาน
- ธุรกิจที่ต้องการ ดึงดูดพาร์ทเนอร์หรือนักลงทุน
ขายสินค้า → ต้องมี E - Commerce Website ที่ช่วยเพิ่มยอดขาย
เน้นโฆษณาขายสินค้าหรือบริการ → ต้องมี Landing Page ที่ปิดการขายได้เร็ว
สร้างความน่าเชื่อถือ + ดึงดูดลูกค้า & พนักงาน → ต้องมี Corporate Website
แล้วคิดว่าเว็บไซต์แบบไหน…ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ?
หากคุณกำลังมองหาเว็บไซต์ที่ไม่ใช่แค่สวย แต่ “ตอบโจทย์ธุรกิจ” ได้จริง เราช่วยคุณได้
Wizemoves Martech พร้อมออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่เข้าใจกลยุทธ์การตลาด ดึงดูดลูกค้า และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจคุณอย่างยั่งยืน
ปรึกษาฟรี กับทีมผู้เชี่ยวชาญของเรา โทรเลยที่ 02-026-3250
หรือ กรอกแบบฟอร์มรับคำปรึกษาฟรีได้ที่นี่ https://www.sellsuki.co.th/solutions/wizemoves#WebsiteDevelopment