ในยุคที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้ประกอบการหลายท่านอาจยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการยื่นภาษีที่ถูกต้อง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดปัญหาภาษีย้อนหลัง บทความนี้จะสรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการยื่นภาษีสำหรับการขายของออนไลน์ ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมสรรพากรโดยตรง (15 ก.ค. 68)
การประกอบธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการ ถือเป็นกิจกรรมที่มีรายได้เกิดขึ้น ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ผู้มีรายได้ทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาล การยื่นภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาวอีกด้วย
บุคคลธรรมดาที่ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ มีหน้าที่ต้องนำเงินได้ที่เกิดขึ้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, หรือโซเชียลมีเดีย ก็ล้วนถือเป็นรายได้ที่ต้องนำมายื่นภาษีทั้งหมด
รายได้จากการขายของออนไลน์โดยทั่วไปจัดเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นเงินได้ประเภทธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในประเภทอื่น
คำนวณจากเงินได้สุทธิ
ภาษี = (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า)
ผู้ประกอบการสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี
หักค่าใช้จ่ายเหมา: สำหรับเงินได้ประเภทที่ 8 (เช่น การขายของออนไลน์) สามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 60% ของรายได้ โดยไม่ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่าย
หักค่าใช้จ่ายตามจริง: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและสามารถพิสูจน์ได้ เช่น บิลซื้อสินค้า, ค่าขนส่ง, ค่าโฆษณา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสามารถนำค่าลดหย่อนต่างๆ มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท, ค่าลดหย่อนคู่สมรส, ค่าลดหย่อนบุตร, ค่าเบี้ยประกันชีวิต, ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย และอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
สมมติว่าคุณเป็นผู้ขายเสื้อผ้าออนไลน์ มีรายได้ทั้งปี 2,000,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายจริง 1,800,000 บาท
(ต้นทุนสินค้า 1,700,000 บาท, ค่าใช้จ่ายอื่น 100,000 บาท) และมีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
กรณีหักค่าใช้จ่ายเหมา 60%
รายการ | จำนวน (บาท) |
รายได้ | 2,000,000 |
หักค่าใช้จ่ายเหมา (60%) | (1,200,000) |
ค่าลดหย่อนส่วนตัว | (60,000) |
เงินได้สุทธิ | 740,000 |
คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าจะได้ภาษีที่ต้องชำระ 63,500 บาท
กรณีหักค่าใช้จ่ายตามจริง
รายการ | จำนวน (บาท) |
รายได้ | 2,000,000 |
หักค่าใช้จ่ายเหมา (60%) | (1,800,000) |
ค่าลดหย่อนส่วนตัว | (60,000) |
เงินได้สุทธิ | 140,000 |
คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าจะได้ภาษีที่ต้องชำระ 0 บาท (ยกเว้น)
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่าการหักค่าใช้จ่ายตามจริงอาจทำให้เสียภาษีน้อยกว่าหรือได้รับการยกเว้นภาษี หากมีค่าใช้จ่ายสูง
สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SME (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี) มีดังนี้
กำไรสุทธิ (บาท) | อัตราภาษี (%) |
ไม่เกิน 300,000 | ยกเว้นภาษี |
300,001 - 3,000,000 | 15 |
เกิน 3,000,000 | 20 |
นิติบุคคลมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล 2 ครั้งต่อรอบระยะเวลาบัญชี
ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด. 51): ยื่นภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีครึ่งปี
ภาษีเงินได้นิติบุคคลสิ้นปี (ภ.ง.ด. 50): ยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่รายรับเกิน
สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนแล้ว จะมีหน้าที่จดทะเบียน VAT ทันที ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ก็ตาม
ภาษีมูลค่าเพิ่มคำนวณจากมูลค่าที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยมีอัตราภาษีอยู่ที่ 7%
ภาษีขาย: ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
ภาษีซื้อ: ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายไปในการซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อใช้ในกิจการ
การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรคือ ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตาม
สมมติว่าในเดือนมกราคม คุณขายสินค้าได้ 100,000 บาท (ไม่รวม VAT) และซื้อสินค้ามาเพื่อขาย 50,000 บาท (ไม่รวม VAT)
ดังนั้น ในเดือนมกราคม คุณมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 3,500 บาท ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์
การเตรียมเอกสารให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้อง โดยเอกสารหลักๆ ที่ควรเตรียมไว้มีดังนี้
การขายของออนไลน์เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการทำความเข้าใจเรื่องภาษีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีตามประเภทของเงินได้และรูปแบบของกิจการ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือน
การศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้อย่างกรมสรรพากร และการเตรียมเอกสารให้พร้อม จะช่วยให้คุณสามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงปัญหาภาษีย้อนหลังได้ในอนาคต หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือติดต่อกรมสรรพากรโดยตรง เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ