mdi_eye : 6 ph_share-bold : 0 charm_sound-down
อ่าน

Google Display Network คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง

Google Display Network คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง

Google Display Network คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง

หากคุณเคยเห็นโฆษณาแบนเนอร์ของแบรนด์ต่าง ๆ ปรากฏบนเว็บไซต์ข่าว บล็อก หรือแม้แต่ในแอปพลิเคชันบนมือถือ — นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Google Display Network (GDN)

ในยุคที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์เกือบตลอดวัน การเข้าถึงพวกเขาในเวลาที่เหมาะสมคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจทุกขนาด และ GDN ก็คือหนึ่งในเครื่องมือโฆษณาที่ช่วยให้คุณทำสิ่งนั้นได้อย่างแม่นยำ

Google Display Network (GDN) คืออะไร

GND ย่อมาจาก (Google Display Network) คือ เครือข่ายเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และวิดีโอของ Google (รวมถึง YouTube, และ Gmail) ที่เปิดให้แบรนด์สามารถแสดงโฆษณาในรูปแบบ แบนเนอร์ (Banner Ads), ภาพนิ่ง (Image Ads), วิดีโอ (Video Ads) หรือ ข้อความ (Responsive Display Ads) ให้กับกลุ่มเป้าหมายในเวลาที่พวกเขากำลังใช้งานเว็บไซต์ต่าง ๆ อยู่
ต่างจากโฆษณา Google Search ที่แสดงเมื่อผู้ใช้พิมพ์ Keyword (เช่น "ร้านรองเท้าวิ่ง")  แต่ GDN จะนำโฆษณาที่เป็นภาพ (แบนเนอร์) หรือวิดีโอ ไปแสดงในที่ที่ผู้ใช้มีแนวโน้มจะสนใจ เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นความต้องการซื้อ

GDN ทำงานอย่างไร? 4 วิธีกำหนดเป้าหมายที่ทำให้โฆษณาคุณ "ตามติด" ลูกค้า

หัวใจสำคัญที่ทำให้ GDN ทรงพลังคือการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) ที่ละเอียดอ่อน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ:

1. การกำหนดเป้าหมายตามผู้ชม (Audience Targeting)

นี่คือวิธีการที่ใช้บ่อยที่สุดและได้ผลดีที่สุด โดยแบ่งตามพฤติกรรมของผู้ใช้:
Affinity Audiences: ผู้ชมที่มีความสนใจ/งานอดิเรกในระยะยาว (เช่น "คนรักรถ", "คนชอบทำอาหาร") เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness
In-Market Audiences: ผู้ชมที่กำลังแสดงความตั้งใจซื้อสินค้า/บริการบางอย่างอย่างจริงจัง (เช่น "กำลังมองหามือถือรุ่นใหม่", "กำลังเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์")
Custom Segments: สร้างกลุ่มเป้าหมายขึ้นเองจาก Keyword ที่พวกเขาค้นหา, เว็บไซต์ที่พวกเขาเข้าชม หรือแอปฯ ที่พวกเขาใช้
Remarketing: (หัวใจของ GDN) การติดตามแสดงโฆษณาซ้ำแก่คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาดำเนินการต่อ


2. การกำหนดเป้าหมายตามบริบท (Contextual Targeting)

แสดงโฆษณาบนเว็บไซต์หรือแอปฯ ที่มี เนื้อหาเกี่ยวข้อง กับสินค้าของคุณโดยอัตโนมัติ (เช่น โฆษณาครีมกันแดดไปแสดงบนเว็บไซต์รีวิวท่องเที่ยว)

 

3. การกำหนดเป้าหมายตามหัวข้อ (Topic Targeting)

เลือกให้โฆษณาแสดงในกลุ่มของเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับหัวข้อที่คุณเลือก (เช่น เลือก "เทคโนโลยี" หรือ "การเงิน")

 

4. การเลือกตำแหน่งที่ตั้ง (Placement Targeting)

คุณสามารถ ระบุเจาะจง ว่าต้องการให้โฆษณาของคุณไปแสดงบนเว็บไซต์, ช่อง YouTube, หรือแอปพลิเคชันใดโดยเฉพาะได้เลย

ข้อดีของ Google Display Network

1. เหมาะสมกับเพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
GDN ช่วยให้แบรนด์ของคุณ “เป็นที่เห็น” ในพื้นที่ออนไลน์จำนวนมหาศาล — เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้คนรู้จักชื่อหรือจดจำโลโก้

2. สามารถสื่อสารภาพลักษณ์ได้ชัดเจน
ด้วยโฆษณาแบบภาพและวิดีโอ คุณสามารถสื่ออารมณ์และบุคลิกของแบรนด์ได้ดีกว่าการใช้ข้อความเพียงอย่างเดียว

3. เหมาะสำหรับยิงโฆษณาซ้ำได้ด้วย Remarketing
คุณสามารถ “ตามกลับไป” หาคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณ เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อหรือกรอกฟอร์ม

4. ควบคุมงบประมาณได้ยืดหยุ่น
จะเลือกจ่ายตามการมองเห็น (CPM) หรือการคลิก (CPC) ก็ได้ ทำให้ธุรกิจทุกขนาดเริ่มต้นได้ง่าย

5. วัดผลได้ชัดเจน
Google Ads มีระบบรายงานที่ละเอียด เช่น จำนวน Impression, CTR, Conversion Rate เพื่อให้คุณปรับแคมเปญได้อย่างมีข้อมูลรองรับ

 

ข้อจำกัด

อาจมีโอกาสที่โฆษณาไปแสดงบนเว็บไซต์ที่คุณภาพต่ำหรือไม่เกี่ยวข้อง (ต้องมีการ Exclusion)
อัตราการคลิกผ่าน (CTR) และ Conversion Rate มักจะต่ำกว่า Search Ads
ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการออกแบบ Artwork ที่มีขนาดหลากหลายตามที่ Google กำหนด

Google Display Network เหมาะกับใคร/ธุรกิจประเภทไหน?

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าการทำ GDN ดีไหม และเหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่ ลองพิจารณาตามวัตถุประสงค์ต่อไปนี้:

1. ธุรกิจที่ต้องการ "สร้างแบรนด์" และ "สินค้าใหม่"
เหมาะอย่างยิ่ง: สินค้าหรือบริการที่เพิ่งเปิดตัว และคนยังไม่รู้จักหรือยังไม่มี Keyword ค้นหา GDN จะช่วยให้แบรนด์ปรากฏสู่สายตาผู้คนจำนวนมาก สร้างการจดจำได้ก่อนคู่แข่ง

ตัวอย่าง: แบรนด์เครื่องสำอางใหม่, Gadget ล้ำสมัย, หรือคอนเสิร์ตที่กำลังจะจัด

2. ธุรกิจที่มี "สินค้าภาพสวย" หรือ "มีความรู้สึก"
เหมาะอย่างยิ่ง: ธุรกิจที่ภาพถ่ายมีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ เพราะ GDN ใช้ภาพและวิดีโอเป็นหลักในการดึงดูด
ตัวอย่าง: ธุรกิจท่องเที่ยว (โรงแรม, รีสอร์ท), อสังหาริมทรัพย์, เสื้อผ้าแฟชั่น, ร้านอาหารคาเฟ่

3. ธุรกิจที่ต้องการ "ตามเก็บ" ลูกค้าเก่า (Remarketing)
เหมาะอย่างยิ่ง: ธุรกิจ E-Commerce หรือธุรกิจบริการที่มีขั้นตอนการตัดสินใจนาน GDN จะใช้โฆษณาแบบ Dynamic (โชว์สินค้าที่ลูกค้าดูค้างไว้) เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ ทำให้ Conversion Rate สูงขึ้นมาก

4. ธุรกิจที่ต้องการ "เพิ่มความถี่" ในการเห็นโฆษณา
เหมาะอย่างยิ่ง: ธุรกิจที่ต้องการให้ลูกค้าเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความน่าเชื่อถือ (Exposure Frequency) โดยเฉพาะธุรกิจ B2B หรือสินค้าที่มีราคาสูง

แท็ก AdvertisingWebsiteBranding

แชร์

บทความนี้มีประโยชน์กดชอบเป็นกำลังใจให้เราได้
Like this article