Facebook ยังคงเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคจะกระจายตัวไปหลายช่องทาง แต่Facebook ยังคงเป็นอันดับ 1 ที่มี ผู้ใช้เกือบ 90% ที่ใช้งานเป็นประจำ (ข้อมูลอ้างอิง : Popticles.com) และ “Facebook Page” ยังคงเป็นจุดที่ผู้บริโภคยังคงใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ค้นหาข้อมูลสินค้า และสื่อสารกับแบรนด์โดยตรง
สำหรับธุรกิจที่เริ่มต้น การเข้าใจ “โครงสร้างการทำการตลาดออนไลน์ Facebook” ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับกลยุทธ์ เป็นสิ่งที่ช่วยลดต้นทุนการลองผิดลองถูก และเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้าสู่ตลาด
บทความนี้จะนำเสนอแนวปฏิบัติด้าน Facebook Marketing ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเหตุผลเชิงลึก ว่าทำไมธุรกิจเริ่มต้นควรให้ความสำคัญกับระบบและกลยุทธ์มากกว่าการโพสต์แบบกระจัดกระจาย
แม้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันจะกระจายอยู่ในหลายแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น TikTok, LINE, Instagram หรือ Marketplace—แต่ Facebook ยังคงเป็น “โครงสร้างหลัก” ของแบรนด์ เพราะผู้บริโภคใช้ Facebook เป็นจุดศูนย์กลางในการตรวจสอบตัวตนของธุรกิจ
ในกระบวนการตัดสินใจซื้อ ลูกค้ายังคงจะเช็ก Facebook Page อยู่เช่นเคย คล้ายการตรวจสอบ Background ของแบรนด์ ซึ่งช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่าธุรกิจมีตัวตนจริง
สิ่งที่ลูกค้าตรวจสอบเสมอ:
“หน้าเพจที่ถูกต้อง” ไม่ใช่เพียงดูดี แต่ต้องให้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ
ผู้บริโภคใน Facebook ใช้เวลาบนเพจนานกว่าบนแพลตฟอร์มอื่นเพราะธรรมชาติของแพลตฟอร์มเอื้อต่อการอ่านและค้นคว้า เช่น รีวิว, วิธีใช้, Q&A ซึ่งเหมาะกับหมวดหมู่สินค้าอย่าง:
Facebook เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ Conversion Rate ผ่านแชทสูงที่สุด เพราะผู้บริโภคชอบถามเพื่อ “ลดความเสี่ยงก่อนตัดสินใจซื้อ”
จุดแข็งของ Inbox:
ธุรกิจที่ตอบเร็วและมี Script ที่ออกแบบดี จะปิดการขายได้มากขึ้นอย่างชัดเจน
ธุรกิจจำนวนมากเริ่มจาก “คอนเทนต์ก่อน” แต่ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มจาก “โครงสร้างก่อน”
สิ่งที่ต้องทำให้ครบ:
Brand Identity บนเพจต้องชัดเจน
หากคุณคือเจ้าของธุรกิจมือใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสร้างBrand Identity ยังไง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : Branding 101: เข้าใจ Brand คืออะไร เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
เนื้อหาอ้างอิง (Reference Content) ต้องมี
โพสต์สำคัญที่ควรปักหมุด:
เป้าหมายคือ “ลดเวลาตัดสินใจของลูกค้า”
จัดหมวดหมู่สินค้าให้อ่านง่าย
ให้ข้อมูลครบถ้วน เช่น ราคา ขนาด ส่วนประกอบ วิธีดูแลเพราะข้อมูลไม่ครบ = Conversion หายทันที
การทำการตลาดออนไลน์ Facebook ที่ขายได้ ต้องมีคอนเทนต์ 3 ประเภทที่ทำงานร่วมกัน:
2.1.Awareness Content (ให้รู้จักแบรนด์)
2.2.Consideration Content (ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ)
เป็นคอนเทนต์ที่อธิบาย:
2.3.Conversion Content (ปิดการขาย)
เน้นโปรดักต์เป็นหลัก เช่น
การเรียงลำดับคอนเทนต์ที่ดี = ต้นทุนโฆษณาที่ถูกลง + โอกาสปิดการขายสูงขึ้น
แชทคือหัวใจของยอดขายใน Facebook
ระบบแชทที่ดีต้องมี:
ธุรกิจที่มีระบบแชท = ยอดขายเติบโตไวกว่า 30–50%
สำหรับธุรกิจเริ่มต้น การยิงโฆษณาแบบ “หว่าน” มักนำไปสู่การใช้งบโดยไม่ได้ผล การยิงอย่างมืออาชีพต้องเป็นแบบ “Funnel” เช่นกัน:
Phase 1 สร้างฐาน Warm Audience
ยิงคอนเทนต์ Awareness เพื่อเก็บคนสนใจ เช่น ดูวิดีโอ, คลิกดูโพสต์, กดไลก์เพจ เป็นกลุ่มที่ต้นทุนถูกที่สุดและคุณภาพดีที่สุด
Phase 2 สร้างความเข้าใจ (Consideration Ads)
ให้เห็นรีวิว วิธีใช้ Testimonials ลดความลังเล
Phase 3 Conversion + Remarketing
ยิงเฉพาะคนที่เคยสนใจ เป็นกลุ่มที่ปิดการขายได้คุ้มที่สุด ลูกค้ารู้จักแบรนด์แล้ว ไม่ต้องหว่าน
Phase 4 ขยายสเกล (Scale-Up)
เมื่อเฟส 1–3 เสถียรแล้วค่อยเพิ่มงบ หรือเพิ่ม Audience
ข้อดีของการทำแบบมืออาชีพ:
ค่าแอดลดลง
ยิงเฉพาะคนที่มีโอกาสซื้อ
ได้ฐานลูกค้าจริง ไม่ใช่แค่ยอดไลก์
สร้างข้อมูลระยะยาว (Data Asset)
Facebook Ads ที่ดีไม่ใช่โฆษณาสวยแต่คือโครงสร้างที่ “ทำงานร่วมกันทุกชิ้น”
หลายๆครั้งยอดขายใน Facebook มาจากกลุ่มที่เคย “สนใจแล้วแต่ยังไม่ซื้อ”
กลุ่มที่ต้องทำรีมาร์เก็ตติ้ง:
คอนเทนต์ที่เหมาะกับรีมาร์เก็ตติ้ง:
นี่คือตัวช่วยลดต้นทุน CAC (Customer Acquisition Cost) ได้ดีที่สุด
หากคุณกลัวว่าจะทำโฆษณาบน Facebook จะเสียเงินเปล่า เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญใน การทําการตลาด ออนไลน์ facebook ทั้งเรื่องของการทำ Branding การออกแบบ Customer Journey และยิงads ตรงกลุ่มเป้าหมาย ที่หลายธุรกิจให้ความไว้วางใจ ทักมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเราได้เลย
ธุรกิจที่ทำตามนี้ = ต้นทุนสูง, Conversion ต่ำ และ ROI ติดลบ
แม้ Facebook จะเป็นศูนย์กลางของแบรนด์ แต่การมีตัวตนบนหลายช่องทางคือวิธีเพิ่มโอกาสการขายแบบทวีคูณ เพราะลูกค้าไม่ได้อยู่ที่เดียวอีกต่อไป
ผู้บริโภคยุคใหม่ใช้หลายแพลตฟอร์มควบคู่กัน เช่น:
นั่นหมายความว่าแบรนด์ที่ “โผล่ในทุกจุดที่ลูกค้าเดินผ่าน” จะมี โอกาสปิดการขายสูงกว่า แบรนด์ที่อยู่แค่ช่องทางเดียว นี่คือหลักการที่มืออาชีพเรียกว่า Omnichannel Presence
ลักษณะของ Omnichannel ที่ดีคือ:
การออกแบบ Journey แบบนี้ทำให้ลูกค้าเห็นคุณ “ทุกที่ที่เขาอยู่” และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมยอดขายถึงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ
แม้โลกการตลาดจะหมุนเร็ว มีแพลตฟอร์มใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ Facebook ยังคงเป็น “ศูนย์กลางความน่าเชื่อถือ” และเป็นจุดที่ลูกค้าทุกกลุ่มเข้ามาค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในหมวดสินค้าไหนก็ตาม
ธุรกิจที่ทำ Facebook Marketing ได้ผลจริง คือธุรกิจที่มี ระบบครบทั้ง 5 ส่วน:
ธุรกิจที่ทำครบทั้ง 5 กลไกนี้ จะเจอต้นทุนโฆษณาที่ถูกลง ยอดปิดการขายเพิ่มขึ้น และสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนได้ง่ายกว่าการโพสต์แบบสุ่มหรือยิงแอดแบบหว่านมาก
การทำการทำการตลาดออนไลน์ Facebook อาจดูง่าย แต่การทำให้ “ได้ยอดขายจริง” ต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์ คอนเทนต์ การตั้งค่าแอดที่แม่นยำ และระบบวัดผลที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการทีมที่ช่วยตั้งระบบให้ครบ Branding, Content Funnel, Customer Journey, Ads Setup และ Remarketing แบบมืออาชีพ ทีม WizeMoves Consult พร้อมช่วยคุณตั้งแต่ 0 ถึงยอดขายจริง
เราช่วยให้หลายธุรกิจเริ่มจากเพจว่าง ๆ กลายเป็นระบบที่สร้างรายได้จริง
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจที่เชี่ยวชาญต้องนึกถึง Sellsuki ผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ที่ครบเครื่องมากที่สุด ผู้ช่วยมองหาทางที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจติดต่อ Sellsuki ได้เลย เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร หรือ WizeMoves Consult ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย หรือ WizeMoves e-Dis บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร ที่มีลูกค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ กว่า 9,000 บัญชี พร้อมด้วย Akita Fulfillment บริการคลังสินค้าครบวงจร และบริการด้านอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ