ทำไมธุรกิจอาหารถึงต้องมีที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์? เหตุผลที่เจ้าของร้านไม่ควรมองข้าม
ในปี 2568 ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในไทยเติบโต ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จาก 4.6% เหลือเพียง 2.8% (ข้อมมูลอ้างอิงจาก : ศูนย์วิจัยกสิกร)
ปัจจัยหลักมาจาก
- กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศที่ระมัดระวังมากขึ้น
- จำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแต่ยังไม่กลับมาถึงระดับที่ช่วยดันตลาดได้เต็มที่
- ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าเช่าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ ร้านอาหารจำนวนไม่น้อย
- ยอดขายนิ่งเป็นปี
- ต้องออกโปร ลด แลก แจก บ่อยขึ้น
- บางร้านถึงขั้นต้องปิดตัว ทั้งที่ “รสชาติไม่ได้แย่เลย”
แต่ในเวลาเดียวกันกลับมี บางร้านที่เติบโตสวนทางตลาดแบบชัดเจน
- คิวแน่นทุกเย็น
- ลูกค้าจองโต๊ะล่วงหน้าข้ามสัปดาห์ หรือข้ามเดือน
- กลายเป็น “จุดหมาย” ที่คนไปเช็กอิน
- ขยายสาขา หรือสร้างแบรนด์สินค้าอาหารพร้อมทานหรือซอสออกมาขายเพิ่มได้อีก
สิ่งที่ทำให้ร้านเหล่านี้ “รอด และโต” ไม่ใช่แค่รสชาติอร่อย แต่คือ การสร้างแบรนด์ที่ชัดเจน มีเอกลักษณ์ และมีประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากกลับมา
นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมในยุคที่การแข่งขันสูงและกำลังซื้อผันผวนธุรกิจอาหารต้องมีที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ (Branding Consultant) เพื่อช่วยวางตัวตน กลยุทธ์ และประสบการณ์ลูกค้าอย่างเป็นระบบ จนแบรนด์ “โดดเด่นกว่า” ร้านที่มีเมนูเหมือนกันนับร้อยในตลาด
ทำไมถึงต้องจ้างที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ในธุรกิจอาหาร
1) เพราะ “อร่อยอย่างเดียว” ไม่พอให้ลูกค้าจำได้อีกต่อไป
เมื่อทุกย่านมีร้านดี ๆ เต็มไปหมด ลูกค้าไม่ได้มีเหตุผลเดียวว่า “อร่อยก็พอ” เหมือนเมื่อก่อน แต่จะคิดแบบนี้เพิ่มเข้ามา:
- ร้านนี้เหมาะกับไปกับเพื่อน / ครอบครัว / คนรักไหม
- บรรยากาศร้านตรงกับตัวตนเขาหรือเปล่า
- ถ่ายรูปลงโซเชียลแล้ว “เล่าเรื่องอะไร” เกี่ยวกับเขา
- ร้านนี้สะท้อนสไตล์การใช้ชีวิตแบบไหน (สายเฮลตี้ สายอาหารท้องถิ่น สายลักซ์ชัวรี สาย Street ฯลฯ)
Branding จึงไม่ใช่เรื่องสวยงาม แต่เป็นเรื่องของ “ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ร้านนี้ใช่สำหรับเขา”
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ จะไม่เริ่มจากคำว่า “โลโก้จะเอาสีอะไรดี”แต่จะเริ่มจากคำถามอย่าง
- ร้านคุณ “เกิดมาเพื่ออะไร” ในตลาดนี้?
- คุณอยากเป็นร้านแบบไหนในใจลูกค้า?
- อยากเป็น “ร้านใกล้บ้าน” หรือ “ร้านต้องไปให้ได้สักครั้ง”?
- ลูกค้าคุณคือใครกันแน่? คนทำงาน? ครอบครัว? สายแฮงค์เอาต์? คนชอบลองของใหม่?
คำตอบเหล่านี้คือฐานของ Brand Positioning ที่ทำให้คุณไม่ใช่ “อีกร้านหนึ่งในตลาด” แต่เป็น “ร้านที่ลูกค้าเลือก”
2) เพราะทุกคนทำการตลาดเหมือนกันไปหมด แต่ลูกค้าเลือกได้ไม่กี่ร้าน
ลองไถฟีดดู จะเห็นว่า
- ภาพอาหารสวย ๆ ถ่ายมุม Top View คล้ายกัน
- แคปชัน “อร่อยต้องลอง”, “หอม นุ่ม ละมุนลิ้น” เต็มไปหมด
- โปร 1 แถม 1, บุฟเฟ่ต์ไม่อั้น, ลด 20–30% ก็เจอทุกวัน
ผลคือ แบรนด์กลายเป็นทุกแบรนด์เหมือนกันหมดในฟีดลูกค้า ไม่ใช่ “เสียงที่โดดออกมา”
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จะช่วย
- แยกให้ชัดว่าในหมวดหมู่อาหารเดียวกันนี้ คู่แข่งคิดอะไร ทำอะไร สื่อสารอะไรอยู่แล้ว
- ชี้ให้เห็น “ช่องว่าง” ที่ยังไม่มีใครจับ
- วาง “แก่นแบรนด์” (Brand DNA) ที่มีเอกลักษณ์ และต่อยอดได้ในระยะยาว
เช่น
จาก ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือธรรมดา กลายเป็น “ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เล่าเรื่องชุมชนริมคลอง” หรือจาก “คาเฟ่ขนมไทย” เป็น “Thai Dessert House ที่ทำขนมไทยให้เข้าใจง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่”
นี่คือ branding ในเชิงกลยุทธ์ที่ทำให้ร้านแตกต่าง โดยไม่ต้องเล่นสงครามราคา
3) เพราะเจ้าของร้านมีเวลาจำกัด แต่โจทย์แบรนด์ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
ชีวิตเจ้าของร้านอาหารจริง ๆ คือ
- ตื่นมาดูวัตถุดิบ
- เช็กครัว เช็กทีม
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
- เจอลูกค้า
- เคลียร์บัญชี
- ปิดร้านยังต้องคิดต่อเรื่องต้นทุน
จะให้เจ้าของมานั่งวิเคราะห์
- กลุ่มลูกค้า
- ทำ Brand Strategy
- ออกแบบ Customer Journey
- ทำคอนเทนต์
- วางแพลนโฆษณา
ทั้งหมดด้วยตัวเอง = แทบเป็นไปไม่ได้ในระยะยาว
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ จึงทำหน้าที่เป็น “คู่คิดเชิงกลยุทธ์” (Strategic Partner) ที่ช่วยย่อยเรื่องยากให้เป็นทางเลือกที่ชัดเจน เช่น
- ถ้าจะเน้นลูกค้ากลุ่มนี้ ภาพแบบนี้ ใช้คำแบบนี้ ราคาแบบนี้
- ถ้าอยากโตใน 2 ปีข้างหน้า ควรโฟกัสสาขา? เดลิเวอรี? หรือสินค้าแปรรูป?
- ถ้ามีงบจำกัด ทำอะไรที่ Impact สูงสุดก่อน?
4) เพราะ Branding ที่ดีทำให้ “ตั้งราคาได้สูงขึ้น และมีกำไรที่ดีขึ้น”
ในตลาดที่ต้นทุนทุกอย่างขึ้น ถ้าร้านถูกผูกติดกับคำว่า “ต้องราคาถูก” ตลอดเวลากำไรจะบางลงเรื่อย ๆ
แบรนด์ที่ดีจะช่วยให้
- ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่าร้านข้าง ๆ เพราะรู้สึกว่า “คุ้ม”
- ร้านไม่ต้องออกโปรแรงตลอดเวลา
- มีกลุ่มลูกค้าที่ “พร้อมจ่ายซ้ำ”
- ควร Lean Process ไหนเพื่อให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและทำงานให้เร็วขึ้น
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จะช่วยบาลานซ์ 3 เรื่องนี้ให้เข้าที่
- คุณค่า (Value) ที่ลูกค้ารับรู้
- ราคา (Price) ที่ตลาดรับได้
- กำไร (Margin) ที่ธุรกิจเดินต่อได้
นี่คือจุดที่ branding ไม่ได้สวยแค่ภาพ แต่ “สวยที่ตัวเลขธุรกิจ” ด้วย
5) เพราะโลกออนไลน์ทำให้แบรนด์โตได้ไกลกว่า “หน้าร้าน”
ร้านอาหารในวันนี้ไม่ได้จบแค่ เปิดร้าน-รอลูกค้าเดินเข้ามา
แบรนด์ที่มีศักยภาพสามารถต่อยอดไปเป็น
- Delivery แบรนด์
- ทำ Collaboration กับแบรนด์อื่น
- ขยายสาขา หรือทำแฟรนไชส์
- ต่อยอดเป็นสินค้าแบรนด์ตัวเองหรือขยายไปยังธุรกิจอื่นสำหรับตลาดใหม่หรือกลุ่มลูกค้าใหม่
แต่ทั้งหมดนี้ต้องมี “แบรนด์” ที่ชัดและแตกต่าง ไม่อย่างนั้นจะต่อยอดยากมากที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จึงวางภาพ ทั้งวันนี้ และ 2–3 ปีข้างหน้า ให้การขยายในอนาคต “ไม่ติดเพดานที่ตัวตนแบรนด์”
หากคุณต้องการให้ธุรกิจร้านอาหารของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน สามารถขยายสาขาและต่อยอดได้ในอนาคต ปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญในการสร้างแบรนด์ WizeMoves เราช่วยวาง กลยุทธ์ของแบรนด์ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้แบรนด์คุณให้ชัดและแตกต่าง โดยไม่ต้องลงไปแข่งขันเรื่องราคา
บทบาทของที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ในธุรกิจอาหาร
หลายคนคิดว่า ที่ ปรึกษาการสร้างแบรนด์ แค่ช่วยทำโลโก้หรือสโลแกนแต่จริง ๆ แล้ว งาน branding ที่ดีคือ การวางรากฐานให้ทั้งธุรกิจ
2.1 Brand Discovery : แกะตัวตนที่เจ้าของ “รู้สึกอยู่แล้ว แต่พูดไม่ออก”
เฟสนี้คือการ “เคลียร์ภาพในหัวเจ้าของ” ให้ชัด ที่ปรึกษาจะ:
- ที่มาของร้านอาหาร :
- ทำไมถึงอยากเปิดร้านนี้?
- ร้านนี้เกิดจากความหลงใหลอะไร? จากครอบครัว? จากการเดินทาง?
- ถามถึงเป้าหมาย:
- อยากให้ร้านโตแบบไหน ภายใน 2–3 ปี?
- อยากเป็นร้าน Neighborhood ร้านปลายทาง หรือแบรนด์สินค้าต่อยอด?
- สำรวจปัญหา:
- ตอนนี้เจออะไรอยู่? ลูกค้าจำไม่ได้? ไม่กลับมาซ้ำ? ทำเพจแต่ไม่โต?
ทำให้เห็น “โจทย์ที่ชัดเจน” แทนคำว่า “ก็รู้สึกว่าต้องทำแบรนด์ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”
2.2 Market & Customer Insight เข้าใจตลาดให้ลึกกว่าคำว่า “คนไม่ค่อยกินข้าวนอกบ้าน”
- ตลาดอาหารประเภทที่คุณอยู่ (เช่น อาหารไทยสบาย ๆ, คาเฟ่, ร้าน fine dining, ร้านสุขภาพ ฯลฯ) อยู่ใน Phase ไหน
- คู่แข่งในระดับราคาและทำเลเดียวกัน “ขายตัวเองยังไง”
- ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ของร้านคือใคร
ที่ปรึกษา สร้าง แบรนด์ จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า สิ่งไหนคือ “ความเชื่อของเจ้าของ” สิ่งไหนคือ “ความจริงของลูกค้า” แล้วเอาทั้งสองฝั่งมา “หาจุดตรงกลาง” ที่ทำให้แบรนด์มีจุดยืนที่ชัดและขายได้จริง
2.3 Brand Strategy ตั้งเข็มทิศให้ธุรกิจ ก่อนคิดโลโก้หรือคอนเทนต์
เมื่อเข้าใจทั้ง “ตัวเอง–ตลาด–ลูกค้า” ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จะสรุปออกมาเป็น Brand Strategy ที่ประกอบด้วย:
- Brand Positioning
- เราอยากให้ลูกค้านึกถึงเราในฐานะอะไร?
- เช่น “ร้านอาหารไทยสบาย ๆ ที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองหลังเลิกงาน”
- Brand Promise
- สิ่งที่เราสัญญากับทุกคนที่เข้าร้าน เช่น “ทุกจานทำสด ไม่มีอุ่นใหม่”
- Brand Personality
- แบรนด์เป็นคนแบบไหน? อบอุ่น จริงจัง สนุก เป็นทางการ หรือเป็นเพื่อนเล่นมุกกับลูกค้าได้
- Key Messages
- กลุ่มประโยค/คำที่แบรนด์จะใช้พูดซ้ำ ๆ ในทุกช่องทาง
- เช่น “ง่ายแต่ไม่ธรรมดา”, “ความสุขในหนึ่งจาน”
จากตรงนี้จะทำให้
- ดีไซเนอร์รู้ว่าต้องออกแบบแบบไหน
- ทีมหน้าร้านรู้ว่าต้องพูดกับลูกค้ายังไง
- ทีมการตลาดรู้ว่าควรเล่าเรื่องไหนให้คนฟัง
2.4 Brand Identity ทำให้ตัวตนกลายเป็นภาพและประสบการณ์
หลังจากมี Strategy แล้ว ถึงจะเริ่มเรื่อง ตัวตนที่มองเห็นและสัมผัสได้ ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์และทีมดีไซน์จะช่วยออกแบบ:
- โลโก้
- สีหลัก สีรอง
- ฟอนต์ที่ใช้
- Mood & Tone ของภาพอาหาร
- Style การจัดเมนู การออกแบบเมนู
- ป้ายหน้าร้าน และป้ายประกอบต่าง ๆ
- บรรจุภัณฑ์: กล่องเดลิเวอรี ถุง แพ็กเกจของฝาก ฯลฯ
“ลูกค้าเห็นแค่ภาพเดียว ก็รู้ว่าเป็นแบรนด์คุณ” ไม่ใช่โลโก้สวย แต่เอาไปใช้ในเพจ ในร้าน ในโฆษณา แล้วไม่ต่อกัน
2.5 Brand Experience ออกแบบ Journey ตั้งแต่เจอในจอจนถึงโต๊ะอาหาร
Branding ที่ดี = Experience ที่ต่อเนื่อง
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จะช่วยไล่ดูทุก Touchpoint ว่าลูกค้ารู้สึกอะไร:
- เจอเราในออนไลน์ครั้งแรก
- เขาเห็นอะไร? รูปอาหาร? รีวิว? เรื่องราว?
- ภาพและคำพูดสอดคล้องกับตัวตนแบรนด์ไหม
- เข้าเพจหรือเว็บไซต์
- หาข้อมูลเมนู/ราคา/ทำเลได้ง่ายไหม
- รูปแบบการสื่อสารมีเอกลักษณ์ไหม หรือเหมือนร้านทั่วไป
- ต้องมีส่วนไหนประกอบในเว็บเพิ่มเติม
- เดินเข้าร้าน
- ป้ายและบรรยากาศ กลิ่น ให้ฟีลเดียวกับที่เห็นในออนไลน์หรือเปล่า
- การต้อนรับจากพนักงาน ไปในโทนเดียวกับ Brand Personality ไหม
- ตอนรับประทาน
- จานแรกที่มาเสิร์ฟ “เล่าเรื่องแบรนด์” ได้ไหม
- รสชาติและประสบการณ์ตรงกับที่คาดหวังจากการสื่อสารก่อนหน้าไหม
- กลับบ้านแล้ว
- ลูกค้าอยากถ่ายรูป/รีวิวไหม
- เรามีวิธีเก็บเขาเข้าระบบ (เช่น LINE OA, กลุ่มสมาชิก) เพื่อให้เขากลับมาอีกไหม
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์จะเปลี่ยนเส้นทางที่ “เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ” ให้กลายเป็น Brand Journey ที่ถูกออกแบบให้สร้างความประทับใจซ้ำ ๆ
2.6 วางระบบการตลาดให้เดินตามแบรนด์ (ไม่ใช่แยกกันคนละทาง)
หลายร้านเจอปัญหา:
- แบรนด์อยากดูพรีเมียม แต่แคปชันไม่สอดคล้องกับแบรนด์
- โลโก้ดูเรียบเท่ แต่คอนเทนต์ตะโกนขายของทุกโพสต์
- อยากเป็น “แบรนด์อบอุ่น” แต่แอดยิงลดราคาแรงทุกวัน
ที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ จะช่วยวางกรอบให้:
- Content Pillar เราจะเล่าเรื่องอะไรบ้าง เช่น
- เรื่องราววัตถุดิบ
- คนเบื้องหลัง
- วิธีทานเมนูให้สุด
- ความใส่ใจในรายละเอียด
- รีวิวจากลูกค้าจริง
- Tone of Voice จะเขียนแบบไหนให้คนจำได้ว่า “เป็นเสียงของแบรนด์นี้”
- แนวการใช้ Influencer / Creator เลือกคนแบบไหนให้ตรงภาพแบรนด์ ไม่ใช่ใครดังก็จ้าง
การตลาดจะช่วยเสริมแบรนด์ให้ลูกค้าจำได้ไม่ใช่ทำให้แบรนด์ “เสียของ”
2.7 เตรียมแบรนด์ให้พร้อมสำหรับการขยายต่อ (สาขา, เดลิเวอรี, สินค้าแปรรูป)
หลักจากที่ยอดขายเติบโตและมั่นคง ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ที่คิดเผื่อระยะยาวจะช่วย:
- วางโครงสร้างแบรนด์เผื่อการต่อยอด
- ทำ Brand Guideline ให้สาขา/ทีมต่าง ๆ ใช้ร่วมกัน
- แนะนำทิศทางสำหรับ Product Line ใหม่ ๆ ที่ไม่ทำให้แบรนด์หลักสับสน
ทำให้คุณไม่ต้อง “รีแบรนด์ใหม่ทั้งชุด” ในวันที่อยากโต
ทำเองได้ไหม? แล้วที่ปรึกษาให้ Value ต่างจากอะไร?
ทำเอง
ข้อดี
- ประหยัดต้นทุนระยะสั้น
- ทุกอย่างมาจากตัวตนเจ้าของ 100%
- ปรับเปลี่ยนได้ทันทีตามใจ
ข้อท้าทาย
- ใช้เวลาและพลังงานมาก
- เสี่ยง “มองไม่เห็นตัวเอง” เพราะอยู่ใกล้เกินไป
- ขาดโครงสร้าง (Framework) ในการคิด ทุกอย่างเป็นไอเดียลอย ๆ
- ยากต่อการสื่อสารให้ทีมเข้าใจตรงกัน (บางอย่างอยู่ในหัวเจ้าของคนเดียว)
หากคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ใหม่ ไม่รู้จะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ให้แตกต่างหรือมีเอกลักษณ์ สามารถอ่านเพิ่มเติม : Branding 101: เข้าใจ Brand คืออะไร เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
ใช้ที่ปรึกษา การ สร้าง แบรนด์
สิ่งที่ได้
- มุมมองคนนอกที่ “ไม่ติดอีโก้แบรนด์”
- Framework ที่เคยใช้กับหลายธุรกิจ ลดเวลาลองผิดลองถูก
- การสรุปเป็นภาพรวม (Brand Strategy) ที่ใช้เป็นเข็มทิศให้ทุกคนในทีม
- ทำให้การตลาด การขาย และการออกแบบ “พูดภาษาเดียวกัน”
ทำเอง = ประหยัดเงิน แต่ใช้เวลาและเสี่ยงเดินผิดทาง ใช้ที่ปรึกษา = ลงทุนเพิ่ม แต่เดินเร็วขึ้นและมีโอกาสพลาดน้อยลง
สรุป: ทำไมธุรกิจอาหารยุคนี้ “ไม่ควรมองข้าม” ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์
ในตลาดที่เติบโตเพียง 2% แต่จำนวนร้านอาหารและคอนเซปต์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ธุรกิจอาหารไม่ได้แข่งกันแค่ “ใครอร่อยกว่า”
แต่แข่งกันที่:
- ใคร “ชัดกว่า”
- ใคร “ถูกเลือกก่อน”
- ใคร “อยู่ในหัวลูกค้านานกว่า”
ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ เข้ามาเพื่อช่วยว่า:
- แบรนด์ของคุณควรยืนอยู่ตรงไหนในตลาด
- จะเล่าเรื่องตัวเองยังไงให้คนอิน
- จะทำให้ประสบการณ์ตั้งแต่ในจอจนถึงในร้าน “ไปในทิศทางเดียวกัน”
- จะวางฐานให้ธุรกิจต่อยอดในอีก 2–3 ปีข้างหน้าได้ยังไง
ในวันที่ต้นทุนทุกอย่างสูงขึ้นการไม่มีแบรนด์ ต้องใช้ราคาและโปรโมชันเป็นแกนหลักในการดึงดูดลูกค้า ซึ่งเหนื่อยและเปลืองมากในระยะยาว
แต่ถ้า แบรนด์ชัด
- คุณตั้งราคาได้เหมาะสม
- ลูกค้าจำได้
- ลูกค้ากลับมาซ้ำ
- รีวิวเกิดเอง
- ช่องทางต่อยอดเปิดได้อีกหลายทาง
อยากให้แบรนด์ร้านอาหารของคุณ “ชัดและแตกต่าง” ?
ถ้าคุณกำลัง
- จะเปิดร้านใหม่
- อยากขยายสาขา
- อยากเพิ่มยอดขาย
- อยากให้ร้านมีเอกลักษณ์
- หรือรู้สึกว่าร้าน “ไม่มีอะไรเด่น”
WizeMoves Consult พร้อมช่วยวาง Brand Strategy สำหรับธุรกิจอาหารแบบครบวงจร
เราช่วยวิเคราะห์ตลาด วางตำแหน่งแบรนด์ ออกแบบบุคลิก จัดโครงสร้างประสบการณ์ร้าน และวางกลยุทธ์การตลาดแบบที่ทำงานจริง
WizeMoves Consult เราช่วยสร้างแบรนด์ธุรกิจอาหารตั้งแต่
- Strategy (กลยุทธ์แบรนด์)
- Branding (ตัวตนและภาพลักษณ์)
- Customer Journey (ประสบการณ์ลูกค้า)
- และแนวทาง Marketing ที่สอดคล้องกับแบรนด์ ไม่ใช่แค่โพสต์ขายของ
ลองทักเข้ามาปรึกษาได้ เพราะในตลาดที่แข่งขันสูงขึ้นและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอด ร้านที่มีแบรนด์ชัด จะมีโอกาส “เลือกทางเดินของตัวเอง” มากกว่าร้านที่ตั้งราคาและโปรโมชันตลอดเวลา
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจที่เชี่ยวชาญต้องนึกถึง Sellsuki ผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ที่ครบเครื่องมากที่สุด ผู้ช่วยมองหาทางที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจติดต่อ Sellsuki ได้เลย เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร หรือ WizeMoves Consult ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย หรือ WizeMoves e-Dis บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร ที่มีลูกค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ กว่า 9,000 บัญชี พร้อมด้วย Akita Fulfillment บริการคลังสินค้าครบวงจร และบริการด้านอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ