ถึงแม้ว่ายุคสมัยและเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปแค่ไหน “ชาไทย” ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในใจคนไทยทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นที่ผ่านหน้าบ้าน ร้านน้ำชงที่มีอยู่ทุกที่ ไปจนถึงคาเฟ่สุดพรีเมียมหรือร้าน Specialty จากกินร้อนสู่เย็น จากกินเปล่า ๆ สู่การเติมชีส หรือจากการกินจากถุงจนใส่แก้ว เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่าชาไทยไม่เคยถูกลดความนิยมลงเลย กลับยิ่งถูกพูดถึงมากขึ้นซะอีกในหลาย ๆ บริบท และล่าสุดก็เป็นไวรัลสำหรับ “ชาไทยไม่ใส่สี”
วันนี้ Sellsuki จะพาทุกคนมาเจาะลึกไปยิ่งกว่าความอร่อย หอม มัน ของเจ้าเครื่องดื่มสีส้มแก้วนี้ โดยใช้ Social Listening Tools (ภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัว) เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงลึก (Data Research Insight) เกี่ยวกับเทรนด์ต่าง ๆ ของชาไทยว่าปัจจุบันถูกพูดถึงและมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
สำหรับขั้นตอนแรก เราต้องตีโจทย์ให้แตกว่าเราอยากรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรที่คนพูดถึงกันในโซเชียลมีเดีย ในบทความนี้จะเป็น “ชาไทย” และ “ชาเย็น”
ขั้นตอนต่อมาคือ กำหนด Keyword ให้สอดคล้องกับหัวข้อที่เราต้องการศึกษา เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Gathering) ซึ่งสำหรับหัวข้อชาไทยจะมี 2 คำที่เหมาะคือ ชาไทยและชาเย็น
จากการใช้เครื่องมือ Social Listening (Social Listening Tool) ในช่วง 1 มีนาคม 2024 ถึง 30 มิถุนายน 2024 หรือเป็นระยะร่วม 4 เดือน รวบรวมข้อมูลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook, X (Twitter), Instagram และ YouTube เป็นต้น พบว่ามีการกล่าวถึงประมาณ 18,000 ครั้ง โดยข้อมูลที่ Sellsuki รวบรวมได้นั้น เป็นข้อมูลจากโพสต์สาธารณะ ภายใต้นโยบาย Policy ของแพลตฟอร์ม
ในขั้นตอนที่สาม เราจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ (Data Analysis) แต่อย่าลืมตรวจสอบ และคัดกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword ออกก่อน เพื่อให้การวิเคราะห์ของเรานั้นมีความแม่นยำและชัดเจนมากที่สุด
โดยหากเรามองจากกราฟจะเห็นได้ว่ามี 3 แพลตฟอร์มที่มีสัดส่วนใกล้กัน โดย Facebook มาเป็นอันดับแรกที่ 34.2% ห่างจากจากอันดับสองอย่าง X ราว 4% และอันดับที่สามอย่าง Instagram ที่มีสัดส่วนการกล่าวถึง 24% อีกหนึ่งแพลตฟอร์มยอดฮิตและน่าสนใจอย่าง TikTok ก็มีการพูดถึงชาไทยพอสมควรที่ 9.4%
โดยทาง Sellsuki วิเคราะห์เหตุผลในการเลือกใช้ช่องทางต่างๆ ของผู้บริโภค ดังนี้
Facebook ยังคงเป็นที่นิยมด้านคอมมูนิตี้และการรีวิว
อย่างที่ทราบกันดีว่า Facebook เป็นที่นิยมในประเทศไทยมานาน แล้วจากข้อมูลที่เราได้มา มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกลุ่มคอมมูนิตี้ที่เป็นจุดเด่นที่หาใครมาเทียบยาก ผสมกับคอนเทนต์การรีวิวที่เป็นที่นิยิมอย่างมากในไทย
X มาแรงในหมู่คนรุ่นใหม่
แพลตฟอร์ม X หรือ Twitter เก่า เป็นอีกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทางเลือกของคนรุ่นใหม่ ผู้คนหันมารับข่าวสารหรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ผ่าน X มากขึ้น เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่พอมีเทรนด์ “ชาไทยไม่ใส่สี” X ก็ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ
Instagram และ TikTok ความเหมือนที่แตกต่าง
คอนเทนต์วิดีโอสั้น หรือ Short-form video เป็นที่นิยมอย่างมากในหลายปีมานี้ ซึ่ง TikTok เป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย โดยมี Instagram (รวมถึง Facebook) ที่เหมือนจะผันตัวจะแพลตฟอร์มที่เอาไว้ลงแค่ภาพนิ่งเป็นหลักหันมาดูโฟกัสด้านนี้เช่นกัน การที่รีวิวแบบมีเสียงหรือเป็นวิดีโอย่อมดีกว่าสำหรับหากมองในมุมมองรีวิวอาหารหรือเครื่องดื่มในรูปแบบที่หลากหลาย โดยความแตกต่างระหว่าง 2 แพลตฟอร์มนี้ จะเป็น TikTok ที่อาจจะเน้นข่าวสารหรือความบันเทิง ในขณะที่ Instagram อาจจะเน้นที่ไลฟ์สไตล์มากกว่า
Sellsuki ใช้ Hashtag Cloud ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นพบแฮชแท็กน่าสนใจ รวมไปถึงภาพรวมของข้อมูลและเทรนด์ที่สอดคล้องกับ Keyword ของเรา
จากข้อมูลที่ Hashtag Cloud พบบนโซเชียลมีเดีย จะเห็นได้ว่าเทรนด์เกี่ยวกับชาไทยส่วนใหญ่ จะเป็นชื่อเรียกเมนูที่ติดอันดับต้น ๆ นอกจากนี้จะมีแฮชแท็กแคมเปญจากสินค้าของแบรนด์เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจคือมี #LINEMAN ทำให้เราเห็นชัดยิ่งขึ้นถึงพฤติกรรมคนไทยที่ใช้แอปพลิเคชันส่งอาหาร เป็นอีกตัวเลือกนึงในการหาอาหารหรือเครื่องดื่ม
หลังจากที่เรารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราต้องทำการแยกข้อมูลเหล่านี้ออกเป็นประเภทข้อมูล (Categories) เพื่อให้เราสามารถกำหนดหัวข้อหรือประเด็นเชิงลึก (Insights) ของหัวข้อที่เราต้องการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเราจะเห็นว่าเวลาผู้บริโภคพูดถึงชาไทย จะพูดถึงหรือรีวิวปัจจัยในการตัดสินใจซื้อเกือบครึ่งหนึ่งที่ 48.8% จะเป็นการพูดถึงปัจจัยทั่วไปอย่าง รสชาติ กลิ่นและคุณภาพของชา ราคา และความแปลกใหม่ ความแปลกใหม่ที่ว่าทำให้เมนูชาไทยธรรมดากลายมาเป็นจุดขายของหลาย ๆ ร้านได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ชาไทยผสมกับโกโก ชาไทยใส่ครีมชีส หรือชาไทยสลัชชี่
อีกจุดนึงที่อยากเอามาย้ำตรงจุดนี้คือการสั่งซื้อ (13.1%) ที่มีทั้งการซื้อหน้าร้านและผ่าน Delivery App ชี้ให้เห็นว่าหากอยากทำร้านหรือแบรนด์เครื่องดื่มแบบชง ที่ถึงแม้จะมีค่า GP เข้ามาเป็นปัจจัยใหญ่ แต่ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ไม่ควรมองข้ามและควรวางแผนอย่างรอบคอบ
เราขอมาขยี้ในหัวข้อเมนูเพิ่มเติมกันบ้าง โดยหากเจาะลึกมาใน 26.4% ที่พูดถึงเมนูชาไทยแล้ว จะเห็นได้ว่ามีความหลากหลายซ่อนอยู่ ชาไทยไม่ได้จบแค่ดื่มเย็นหรือร้อน แต่เครื่องดื่มแก้วนี้เป็นได้หลากหลายกว่านั้น ไม่ว่าจะเอามาทำขนมไทยอย่าง สังขยา หรือจะเป็นเบเกอรี่อย่างพวก ชีสเค้กหรือเอแคลร์ ทางด้านเครื่องดื่มอาจจะไม่ได้มีลูกเล่นให้ปรับเยอะมาก แต่หากหาเจออาจทำให้กลายเป็นจุดขายที่ทำให้คนยอมรอต่อคิวเพื่อซื้อเลยก็ได้
เรื่องนี้คงไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเรื่องสีของชาไทยกำลังเป็นที่พูดถึงบนโซเชียลมีเดีย โดยราว ๆ 60% พูดถึงชาไทยไม่ใส่สี โดยมันเป็นการสร้างความคิดใหม่ ๆ ที่มีต่อชาไทยให้ผู้บริโภค เพราะชาไทยไม่ใส่สีนั้น จะไม่มีการเติมสีผสมอาหาร เช่น Sunset Yellow FCF ที่แม้จะไม่ส่งผลต่อร่างกายหากไม่ได้ทานในปริมาณมาก แต่คงจะดีกว่าถ้าไม่ใส่ ทำให้หลายแบรนด์นำจุดนี้มาเล่น และนำเสนอเมนูที่ “คลีน” กว่าออกมา
โดยข้อมูลที่ทางเราได้มาก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใจมากนัก หากเราสังเกตจากพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ผู้หญิงมักจะเฟ้นหาคาเฟ่ เมนูน้ำหรือขนมมากกว่าผู้ชาย และช่วงอายุก็ไม่ได้ทำให้เราแปลกใจเช่นกัน โดยจะเป็น 25 - 34 ปี และ 18 - 24 ปี ช่วงอายุยอดฮิตที่มีทั้งกำลังซื้อและอำนาจตัดสินใจ
ปัจจุบัน ชาไทยยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยม ไม่เพียงแต่สำหรับคนไทยแต่ยังสำหรับชาวต่างชาติที่แวะมาเยี่ยมเยือนด้วย เมนูสุดคลาสสิคอย่าง “ชาไทยเย็น” ยังคงเป็นเซฟโซนสำหรับหลาย ๆ คน ในขณะที่เมนูฟิวชันใหม่ ๆ ก็พร้อมเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคได้ลอง หรือจะเป็นเมนูสุดคลีนอย่างชาไทยไม่ใส่สีที่กำลังได้รับความนิยม
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ายังมีโอกาสมากมายในธุรกิจชาสีส้มที่หลายคนอาจจะบอกว่ามีสิ่งใหม่ไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชาไทยไร้สีนี้ อาจทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมหรือการเซ็ต New Normal ขึ้นมาในหมู่ผู้บริโภคเลยก็ได้
อีกกลยุทธ์หรือช่องทางการขายที่ใช้คำว่าห้ามมองข้ามได้เลยคือ แอปพลิเคชันส่งอาหาร หรือ Delivery App ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ เพราะมันเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า อีกทั้งยังให้สิทธิประโยชร์อื่น ๆ กว่าการจ่าย ดื่ม แล้วจบ
TIPS: ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยนิยมสั่งชาไทยผ่านแอปเพื่อใช้โค้ดส่วนลด แต่เลือกมารับสินค้าด้วยตัวเองหน้าร้านเพื่อลดค่าส่ง ร้านค้าจึงควรรองรับการรับหน้าร้าน และใช้โอกาสนี้ในการเสนอเมนูเพิ่มเติมหรือโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าใน Touch Point จริง
ถึงร้านชาไทยจะสามารถหาได้ทั่วบ้านทั่วเมือง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถเข้ามาในตลาดหรือทำให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้นได้ Sellsuki ขอนำเสนอการวิเคราะห์สำหรับท่านใดที่สนใจทำแบรนด์ชาไทยหรืออยากทำให้ธุรกิจที่มีอยู่ให้แข็งแกร่วและขายดียิ่งขึ้น โดยเราไฮไลท์มา 3 จุดหลัก ๆ ดังนี้
กำหนดตัวตนของแบรนด์ถ้ายังไม่มี
หากคุณยังไม่มีดีไซน์หรือคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ หรือมีแล้วแต่ยังไม่ชัดเท่าไหร่ การใช้เวลากับส่วนนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการพัฒนาคุณภาพของสินค้า เพราะต้องอย่าลืมว่าถึงแม้รสชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ถ้าลูกค้าจำแบรนด์คุณไม่ได้ก็เท่านั้น การที่มีชื่อ สี แพ็กเกจ ตัวตน หรือเรื่องราวที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและแตกต่าง
กลยุทธ์สินค้า
การที่มีสินค้าแบบเบสิค เช่น ชาไทยเย็น เป็นเรื่องที่ดี เพราะเข้าถึงผู้บริโภคหลายกลุ่มได้ง่าย อย่างไรก็ตาม หากเข้าถึงง่ายก็แปลว่าคนอื่นก็ทำได้ เพราะฉะนั้น การมีเมนูที่เป็นเอกลักษณ์เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้คนอยากกลับมาหา เพราะหาที่ไหนไม่ได้ เมนูแปลกใหม่ไม่จำเป็นต้องแหวกตำรา อาจเป็นแค่การนำสิ่งนั้นมาผสมสิ่งนี้ เช่น นำใบเตยหรืออัญชีมาทำเป็นวุ้นใส่ลงไปในชาไทย เพิ่มสีสันและความหอม
ราคาที่ถูกและฮีลใจลูกค้าไปพร้อมกัน
เราอาจจะมีเครื่องดื่ม 2 ช่วงราคา เช่น ชาไทยธรรมดา และ ชาไทยพรีเมียม แต่การสร้างการเข้าถึงได้เป็นสิ่งที่ควรลองทำ หมายถึง อาจจะ การทำโปรโม ชาไทยธรรมดา 3 แก้ว 99 บาท (สมมติจากปกติแก้วละ 35 บาท) หรือจะเป็นการใส่สินค้าพรีเมียมเข้าไป เช่น ชาไทยพรีเมียม 1 + ชาไทยธรรมดา 1 กลยุทธ์นี้อาจทำให้ลูกค้าที่สั่งแต่ไลน์สินค้าธรรมดา อยากลองขยับขึ้นมาลองตัวพรีเมียมเพราะมันรู้สึกคุ้มค่า นอกจากนี้เขาอาจชวนเพื่อนมาหารหรือลองพร้อมกัน และร้านสามารถหากำไรเพิ่มเติมจากพวก Topping ด้วยก็ได้
นอกจากนั้นอาจจะแคมเปญที่ส่งเสริมความยั่งยืน เช่น นำแก้วมาเองลดราคาเครื่องดื่ม หรือใช้แก้วจากทางร้านมีส่วนลดในการซื้อซ้ำ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าแต่มันทำให้พวกเขามีความคิดที่ดีต่อแบรนด์เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
“เหนือสิ่งอื่นใด การเก็บข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพราะมันจะทำให้เราให้ภาพรวมของธุรกิจเราและทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมาก”
สำหรับคนที่อยากได้ Data Research Insight เวอร์ชันเต็มของเดือนพฤศจิกายน สามารถดาวน์โหลดฟรี เพียงลงทะเบียนด้านล่างได้เลย!