Data Research Insight วงการ Delivery App by Social Listening จาก Sellsuki
เดี๋ยวนี้เวลาที่จะสั่งอะไรกินก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป เพราะแอปพลิเคชันสั่งอาหารกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุ ก็หันมาใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์กันมากขึ้น เพราะทั้งสะดวก รวดเร็ว แถมยังมีร้านให้เลือกละลานตา จะสั่ง Delivery App เจ้าดังอย่าง GrabFood , LINE MAN หรือ Robinhood ก็ง่ายนิดเดียว แค่เลือกเมนูที่ชอบ จ่ายเงิน แล้วก็รอรับของอร่อยอยู่ที่บ้านได้เลย
Sellsuki เข้าใจดีว่าพฤติกรรมการสั่งอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปมากแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องรักษาระยะห่าง หรืออยากจะประหยัดค่าเดินทาง การสั่งอาหารออนไลน์เลยกลายเป็นทางเลือกยอดฮิต วันนี้ Sellsuki เลยขอพาทุกคนไปเจาะลึกข้อมูล (Insight) พฤติกรรมการใช้ Social Media ของคนสั่งอาหารเดลิเวอรี่ในประเทศไทย เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพของวงการ Delivery App กันมากยิ่งขึ้น แต่ขอสปอยไว้นิดนึงว่าข้อมูลบางส่วนนั้นก็เซอร์ไพรส์อยู่ไม่น้อย โดยทางทีมงาน Sellsuki ใช้เครื่องมือ SOCIAL LISTENING TOOLS เพื่อช่วยในการดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App บนโซเชียลมีเดีย (ภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัว) เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงลึก (DATA RESEARCH INSIGHT) เกี่ยวกับเทรนด์ต่างๆ ของ Delivery App ว่าปัจจุบันมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
5 ขั้นตอนการทำ Data Blueprint ด้วยเครื่องมือ Social Listening
Step 1 - Crack โจทย์ไหนที่อยากรู้ ในขั้นตอนแรกสุดของเรานั้น เราจะต้องมีตีโจทย์ ให้แตกว่าเราอยากรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรที่คนพูดถึงกันในโซเชียลมีเดีย ในบทความนี้ ซึ่งจะเป็นคำว่า แอปเดลิเวอรี่, grabfood foodpanda, shopeefood, line man, และ robinhood นั่นเอง เราจะเอาคำเหล่านี้มาดูว่าเทรนด์เป็นยังไง
Step 2 - Set Keyword & Data Gathering กำหนด Keyword สำหรับ research ฉบับนี้
สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App จาก Social Listening ในหัวข้อแอปพลิเคชันสั่งอาหารนี้ ขั้นตอนแรกคือการกำหนด Keyword หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุม เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลเป็นไปอย่างแม่นยำ Sellsuki ได้ใช้คำว่า "แอปเดลิเวอรี่" รวมถึงชื่อผู้ให้บริการรายหลักอย่าง GRABFOOD, FOODPANDA, SHOPEEFOOD, LINE MAN, และ ROBINHOOD เป็น Keyword ในการเก็บข้อมูล
หลังจากนั้น Sellsuki ได้ใช้เครื่องมือ Social Listening Tools เพื่อติดตามและรวบรวมการสนทนาที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับแอปพลิเคชันเหล่านี้ โดยทำการเก็บข้อมูลย้อนหลังเป็นระยะเวลา 3 เดือน คือช่วงตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025 ถึง 23 พฤษภาคม 2025
จากผลการรวบรวมข้อมูล พบว่าหัวข้อแอปพลิเคชันสั่งอาหารนี้ได้รับการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนการกล่าวถึง Delivery App รวมสูงถึง 205,697 ข้อความ (ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นการรวบรวมจากโพสต์สาธารณะ และอยู่ภายใต้นโยบายของแต่ละแพลตฟอร์ม)
เมื่อพิจารณารายละเอียดของแต่ละแพลตฟอร์ม จากข้อมูลในแผนภูมิวงกลม สามารถสรุปสัดส่วนการพูดถึงได้ดังนี้:
X (Twitter): เป็นแพลตฟอร์มที่มีการพูดถึง Delivery App มากที่สุด โดยถือว่าเซอร์ไพรส์มากเลยทีเดียวที่ช่องทางนี้เกิดการพูดถึงมากที่สุด โดยมีจำนวนถึง 131,836 ข้อความ หรือคิดเป็น 64.09% ของการสนทนาทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเป็นช่องทางหลักในการแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแอปสั่งอาหารFacebook: ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยจำนวน 44,388 ข้อความ (21.58%) ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์และรีวิวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องInstagram: มีการกล่าวถึง Delivery App อยู่ที่ 20,944 ครั้ง (10.18%) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการแชร์รูปภาพอาหารที่สั่งผ่านแอปพลิเคชันTikTok: มีการพูดถึง Delivery App อยู่ที่ 6,393 ครั้ง (3.11%) โดยเนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบวิดีโอสั้นนอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงจาก ข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App (1,128 ข้อความ), YouTube (516 ข้อความ), Forum (456 ข้อความ) และ ช่องทางอื่นๆ (36 ข้อความ) ตามลำดับ ข้อมูลแน่นๆ แบบนี้ก็ทำให้เห็นภาพชัดเลยว่าคนไทยเราเนี่ยอินกับแอปสั่งอาหารกันขนาดไหน แล้วแพลตฟอร์มอย่าง X กับ Facebook ก็ยังเป็นช่องทางหลักๆ ที่คนใช้พูดคุยแชร์เรื่องพวกนี้กัน ใครทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเดลิเวอรี่หรืออยากรู้ว่าลูกค้าคิดอะไรอยู่ ก็คงต้องแอบไปส่องๆ แพลตฟอร์มพวกนี้ดูบ้างแล้วล่ะ!
Step 3 - Data Analyst & Visualize การวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละแพลตฟอร์ม ในขั้นตอนที่สาม เราจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ (Data Analysis) แต่อย่าลืมตรวจสอบ และคัดกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword ออกก่อน เพื่อให้การวิเคราะห์ของเรานั้นมีความแม่นยำและชัดเจนมากที่สุด
แผนภูมินี้ แสดงสัดส่วนการกล่าวถึง (Mentions) ที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ Sellsuki กำลังติดตามอยู่ โดยมีรายละเอียดและเหตุผลที่น่าจะเป็นดังนี้ครับ:
1. X (Twitter): 64% (131,836 Mentions)
Key highlight: X เป็นแพลตฟอร์มที่ครองสัดส่วนการกล่าวถึง Delivery App สูงที่สุดอย่างชัดเจนเหตุผลที่คาด: ความเร็วและกระแส: X เป็นแพลตฟอร์มที่ข่าวสารและเรื่องราวต่างๆ กระจายได้รวดเร็วมาก การพูดถึงแบบ Delivery App แบบ Real-time ทั้งในเชิงบวกและลบจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและมีจำนวนมากความสะดวกในการแสดงความคิดเห็น: การทวีตข้อความสั้นๆ ทำได้ง่าย ทำให้ผู้คนนิยมใช้ X ในการแสดงความคิดเห็นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นการแสดงความคิดเห็นแบบเรียลไทม์กันเลยทีเดียวบทสนทนาที่เปิดกว้าง: หลายๆ การสนทนาบน X เป็นแบบสาธารณะ ทำให้เกิดการโต้ตอบและกระจายต่อ (Retweet) ได้ง่าย ส่งผลให้จำนวน Mentions เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว2. Facebook: 22% (44,388 Mentions)
Key highlight: Facebook มาเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วนประมาณหนึ่งในห้าของการกล่าวถึง Delivery App ทั้งหมดเหตุผลที่คาด: ฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่และหลากหลาย: Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและครอบคลุมหลายช่วงวัย ทำให้การพูดถึง Delivery App เกิดขึ้นในวงกว้างชุมชนและกลุ่ม: การสนทนาในกลุ่ม (Groups) หรือบนเพจ (Pages) ที่มีความสนใจเฉพาะเรื่อง รวมถึงการแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ต่างๆ ทำให้เกิด Mentions ได้มากเนื้อหาที่หลากหลาย: ผู้ใช้มักแชร์ประสบการณ์ รีวิว หรือข่าวสาร ซึ่งอาจมีการกล่าวถึงแบรนด์หรือบริการที่เกี่ยวข้อง3. Instagram: 10% (20,944 Mentions)
Key highlight: Instagram มีสัดส่วนการกล่าวถึงอยู่ที่ 10%เหตุผลที่คาด: เน้นภาพและวิดีโอ: การกล่าวถึง Delivery App บน Instagram มักจะมาพร้อมกับเนื้อหาที่เป็นภาพหรือวิดีโอ เช่น การรีวิวสินค้า/บริการผ่าน IG Stories หรือโพสต์ การจัดแคมเปญที่ให้ผู้ใช้สร้างคอนเทนต์ (User-Generated Content)Influencer Marketing: การใช้ผู้มีอิทธิพลบน Instagram ในการโปรโมตสินค้าหรือบริการเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสร้าง Mentions จำนวนมาก4. TikTok: 3% (6,393 Mentions)
Key highlight: TikTok มีสัดส่วนที่น้อยจนผิดหูผิดตา ซึ่งก็แอบถือว่าแปลก เพราะถ้าหากอ่านบทความ Data Research จาก Sellsuki เป็นประจำจะพบว่า Data Research ในเรื่องอื่นๆ หลายๆเรื่อง มีการกล่าวถึงบน Tiktok มากเป็นอันดับต้นๆเหตุผลที่คาด: การเติบโตอย่างรวดเร็ว: TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การกล่าวถึง Delivery App ในรูปแบบคลิปสั้น ความคิดเห็น หรือการเข้าร่วม Challenge ต่างๆ จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื้อหาไวรัล: คลิปที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือบริการอาจกลายเป็นไวรัลและถูกพูดถึงอย่างรวดเร็ว5. แพลตฟอร์มอื่นๆ:
News: 0.5% (1,128 Mentions) YouTube: 0.2% (516 Mentions) Forum: 0.2% (456 Mentions) Other: 0.01% (7 Mentions) เหตุผลที่คาด: News: มักเป็นการกล่าวถึงในลักษณะของข่าวสาร หรือ บทวิเคราะห์ ซึ่งมีจำนวนไม่มากเท่าโซเชียลมีเดียYouTube: การกล่าวถึง Delivery App อาจอยู่ในส่วนของความคิดเห็นใต้คลิป หรือคำอธิบายใต้คลิป เป็นต้นForum: เป็นการสนทนาในกลุ่มเฉพาะทาง อาจเป็นการพูดคุยเชิงลึก หรือแลกเปลี่ยนปัญหาระหว่างผู้ใช้งานแหล่งข้อมูลอื่นๆ (other): เป็นการรวบรวมจากแหล่งอื่นๆ ที่มีจำนวนน้อยมากๆSocial Data Stat Overview สถิติต่างๆจากการมีส่วนร่วมและข้อความ
จากข้อมูลในกราฟด้านบน พบว่า ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) และจำนวนข้อความส่วนใหญ่มาจากช่องทาง X (Twitter) (เส้นสีดำในกราฟ) โดยสังเกตเห็นการพุ่งสูงขึ้นของ Engagement อย่างชัดเจนในหลายช่วง โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนเมษายน 2025
ปรากฏการณ์นี้อาจมีการเชื่อมโยงโดยตรงกับการจัดแคมเปญพิเศษของเหล่า Delivery App ที่ร่วมงานกับศิลปิน นักร้อง หรือผู้มีอิทธิพล (Influencer) พร้อมทั้งมีการใช้ Hashtag เฉพาะเพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นการรับรู้ ตัวอย่างเช่น แคมเปญของ GrabFood ที่ใช้ #GrabFoodSoHot ร่วมกับศิลปินดัง (ดังภาพประกอบตัวอย่างโพสต์จาก X)
การที่กราฟ Engagement บน X พุ่งสูง สะท้อนให้เห็นว่ากลยุทธ์การตลาดที่ใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงควบคู่ไปกับการสร้างกระแส ไวรัลบนแพลตฟอร์มที่เน้นความรวดเร็วอย่าง X นั้นมีประสิทธิภาพสูงสำหรับธุรกิจ Delivery App
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด Engagement สูง คาดว่ามาจากการใช้คอนเทนต์ที่น่าสนใจ เช่น คลิปวิดีโอหรือรูปภาพ ประกอบกับ Hashtag ที่จดจำได้ง่าย และการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วบน X ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมผู้ใช้ Delivery App ที่มองหาความสะดวกและทันท่วงที
โดยสรุป กราฟและข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำตลาดผ่านแคมเปญที่เน้นสร้างกระแส (Buzz Marketing) บน X โดยร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์หรือศิลปิน เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลอย่างยิ่งในการสร้างการมีส่วนร่วมและทำให้ Delivery App เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง
Social Data Stat by Hashtag Cloud Sellsuki ใช้ Hashtag Cloud ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นพบแฮชแท็กน่าสนใจ รวมไปถึงภาพรวมของข้อมูลและเทรนด์ที่สอดคล้องกับ Keyword ของเรา หากต้องการจะหา Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับ Delievery App เราก็ต้องไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากที่ Hashtag Cloud ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนที่จะลงลึกไปในส่วนของรายละเอียด วันนี้ Sellsuki จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจคร่าวๆ กันก่อนว่า แฮชแท็กสำคัญกับการตลาดออนไลน์อย่างไร โดยแฮชแท็กไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ธรรมดา แต่เป็น เครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตลาดออนไลน์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
เพิ่มการเข้าถึง (Reach): ช่วยให้โพสต์ของคุณไปไกลกว่าเดิมสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness): ให้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้นส่งเสริมแคมเปญ (Campaign Promotion): กระตุ้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆวิเคราะห์เทรนด์ (Trend Analysis): เกาะติดกระแสที่ผู้บริโภคสนใจเสริม SEO: เพิ่มโอกาสให้แบรนด์ถูกค้นพบในโลกออนไลน์โดยทาง Sellsuki จะพาทุกคนมาเจาะลึกกันอีกหน่อยเกี่ยวกับ แฮชแท็ก (Hashtag) ที่น่าสนใจแต่ละตัว แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจคร่าวๆ ก่อนว่าเจ้าตัว “แฮชแท็ก” มันสำคัญอย่างไรกับ การตลาดออนไลน์ โดยแฮชแท็กเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มทั้ง การเข้าถึง (Reach) การรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) การส่งเสริมแคมเปญ (Campaign Promotion) วิเคราะห์เทรนด์ (Trend Analysis) และเสริมการทำ การตลาดออนไลน์ ผ่าน SEO ต่อไปเราจะมาวิเคราะห์แต่ละแฮชแท็กที่เกี่ยวกับ Delivery App ซึ่งจากข้อมูล Social Data Stat Overview โดย Hashtag Cloud พบว่า เมื่อค้นหาแฮชแท็ก ที่เกี่ยวข้องบนโซเชียลมีเดีย
หลังจากที่ทีมงาน Sellsuki ได้รวบรวมแฮชแท็กยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App และบริการสั่งอาหารบนโซเชียลมีเดีย จะพบว่ามีการใช้งานแฮชแท็กหลักๆ ที่สะท้อนกลยุทธ์การตลาด ของธุรกิจนี้อย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับ ชื่อแคมเปญโปรโมชั่นที่ร่วมกับศิลปินหรือผู้มีอิทธิพล, ชื่อแบรนด์ Delivery App โดยตรง, และคำที่สื่อถึงส่วนลดหรือความคุ้มค่า
เมื่อพิจารณาจาก Top 10 Hashtags ที่แสดงรายการทางด้านขวาของภาพ จะเห็นว่าแฮชแท็กที่มีจำนวนการใช้งานสูงสุด 3 อันดับแรกคือ:
#grabfoodxthehottestโชว์ ด้วยจำนวนข้อความสูงถึง 20,438 ครั้ง (คิดเป็น 18.28%) #lineman มีจำนวน 12,958 ครั้ง (11.59%) #grabfood มีจำนวน 11,454 ครั้ง (10.24%) ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของแคมเปญการตลาดขนาดใหญ่ และการเป็นที่รู้จักในวงกว้างของแบรนด์ Delivery App ชั้นนำ โดยทีมงาน Sellsuki ขออธิบายเหตุผลคร่าวๆ ว่าทำไม 3 แฮชแท็กแรกถึงถูกใช้งานมากที่สุด:
#grabfoodxthehottestโชว์: แฮชแท็กนี้ชัดเจนว่าเป็นชื่อแคมเปญใหญ่ที่ GrabFood ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Delivery App รายใหญ่ของประเทศไทย ร่วมมือกับกลุ่มศิลปินที่มีชื่อเสียง และ เป็นที่รู้จักในหมู่วัยรุ่นเพื่อสร้าง Awareness โดยการนำศิลปินมารวมกับชื่อแบรนด์และกิจกรรมส่งเสริมการขายจะช่วยดึงดูดความสนใจและสร้าง Engagement ได้เป็นอย่างดี ทั้งจากกลุ่มแฟนคลับของศิลปินเอง และผู้ใช้งาน Delivery App ที่มองหาส่วนลดหรือดีลพิเศษจากแคมเปญอีกด้วย#lineman: เป็นชื่อแบรนด์ของผู้ให้บริการ Delivery App อย่าง LINE MAN โดยตรง การที่แฮชแท็กชื่อแบรนด์มีปริมาณการใช้งานสูงมาก แสดงถึงการพูดถึงแบรนด์ในภาพรวมที่กว้างขวาง อาจเกี่ยวข้องกับการบริการทั่วไป โปรโมชั่นต่างๆ ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแคมเปญใดแคมเปญหนึ่ง การสอบถามข้อมูล หรือการแชร์ประสบการณ์ ซึ่งสะท้อนถึง Brand Awareness ที่แข็งแกร่ง และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานจำนวนมาก#grabfood: เช่นเดียวกับ #lineman แฮชแท็กนี้คือชื่อแบรนด์ GrabFood ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการ Delivery App รายใหญ่ การมี Mentions สูงบ่งบอกถึงการเป็นที่รู้จักและการถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโปรโมชั่นโดยรวม ประสบการณ์การใช้บริการ หรือข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ แสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากนึกถึงและใช้แฮชแท็กนี้เมื่อต้องการค้นหาหรือพูดคุยเกี่ยวกับ GrabFood
นอกจากนี้ ทางทีมงานของ Sellsuki ยังได้นำผลการวิเคราะห์ SEO สำหรับคีย์เวิร์ด "DELIVERY" มาฝากทุกๆคนอีกด้วย โดยพวกเราได้ใช้เครื่องมือ Ubersuggest เพื่อดูว่าเนื้อหาประเภทใดที่เกี่ยวข้องและได้รับความสนใจบนโลกออนไลน์ ซึ่งในส่วนของผลลัพธ์ได้ชี้ชัดว่ากิจกรรมหรือคอนเทนต์ที่คนค้นหามากที่สุด 3 อันดับแรกคือ:
รวมร้านที่สั่ง delivery โปรโมชั่น delivery การสมัครใช้งาน delivery โดยข้อมูลนี้จะมีประโยชน์สำหรับธุรกิจในการทำ SEO เพราะช่วยให้เข้าใจว่าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตค้นหาอะไรเมื่อใช้คำว่า "DELIVERY" ทำให้สามารถสร้างคอนเทนต์ได้ตรงความต้องการ เช่น บทความรวมร้าน, โปรโมชั่น, หรือคู่มือการใช้งาน เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้นนั่นเอง
หมวดหมู่การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ Delivery App
เวลาคนพูดถึงเรื่องสั่งอาหารเดลิเวอรี่หรือ Delivery App ต่างๆบนโซเชียลมีเดีย หลายคนอาจจะสงสัยว่าเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้างนะแต่ถ้าอิงจากภาพรวมหมวดหมู่ทั้งหมด จะเห็นเลยว่าเรื่องที่คนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ "ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ" (Key Factors) ที่กินสัดส่วนไปถึง 59.3% ปัจจัยพวกนี้ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวอย่าง Influencer ที่มาป้ายยา, ราคาคุ้มไหม, ตัวอาหารเองที่น่ากิน, หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่เหมาะจะสั่ง
รองลงมาที่ 20.8% ก็หนีไม่พ้นเรื่องของกินอย่าง "เมนู" (Menu) นี่เอง แสดงว่าคนก็ชอบคุยกันเรื่องประเภทอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารอีสาน, ฟาสต์ฟู้ด, อาหารจานเดียว ไปจนถึงอาหารไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลี หรือพวกเครื่องดื่ม/ขนมก็มาหมดแบบครบจบ
ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่อง "บริการ" (Service) ที่ถูกกล่าวถึงอยู่ที่ 10.5% คนก็จะสนใจเรื่องความเร็วในการส่ง, พี่ๆ ไรเดอร์, หรือค่าส่งแพงไหม ส่วนเรื่อง "โปรโมชัน" (Promotion) ถือเป็นหัวข้อที่ได้รับการพูดถึงน้อยที่สุดแต่ก็เป็นอีกหัวข้อที่คนพูดถึงกัน อยู่ที่ 8.6% ซึ่งหลักๆก็หนีไม่พ้นเรื่องส่งฟรี, ส่วนลด, หรือการเก็บโค้ดต่างๆ นั่นเอง
สรุปง่ายๆ ก็คือ เวลาคนจะสั่งเดลิเวอรี่ ก็มักจะให้ความสำคัญกับปัจจัยรอบด้านที่มาช่วยตัดสินใจเยอะสุด แล้วก็ตามมาด้วยประเภทเมนูอาหารที่อยากกิน ส่วนเรื่องบริการกับโปรโมชั่นก็ถือเป็นเรื่องรองลงมาแต่ก็ยังถือว่าสำคัญอยู่ดี
ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ หรือ Key Factors
ในส่วนต่อมา ทางทีมงาน Sellsuki ขอนำเสนอกราฟนี้ ซึ่งคือกราฟที่จะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่าน Delivery App โดยจะเห็นได้ชัดว่ามีสองปัจจัยหลักที่โดดเด่นขึ้นมา
1. ราคา (Price) - 53%: เป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุดเกินกว่าครึ่ง แสดงว่าผู้บริโภคอ่อนไหวต่อราคาเป็นอย่างมาก การตัดสินใจส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยความคุ้มค่า
เหตุผลที่อาจเป็นไปได้: ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ละแอปก็ต่างก็ออกโปรโมชั่น ส่วนลด หรือค่าส่งฟรีมาดึงดูดลูกค้า ผู้บริโภคจึงมักจะเปรียบเทียบเพื่อหาตัวเลือกที่ "คุ้มที่สุด" ก่อนเสมอ2. อาหาร (Food) - 40.3%: เป็นปัจจัยสำคัญอันดับสอง ที่มีสัดส่วนเกือบจะทัดเทียมกับราคา นอกจากความคุ้มค่าแล้ว ตัวเลือกอาหารและคุณภาพคือหัวใจสำคัญของการตัดสินใจ
เหตุผลที่อาจเป็นไปได้: ต่อให้ราคาดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเมนูที่อยากกิน หรือร้านอาหารไม่น่าสนใจ ก็อาจไม่นำไปสู่การสั่งซื้อ ปัจจัยนี้จึงรวมถึงความอยากกินเมนูนั้นๆ ณ ขณะนั้น, ความหลากหลายของร้านอาหาร, และชื่อเสียงด้านรสชาติ 3. Influencer - 5.3%: เป็นปัจจัยรองที่มีอิทธิพลในระดับหนึ่ง การรีวิวหรือการแนะนำจากผู้มีอิทธิพลมีผลต่อการตัดสินใจ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก
เหตุผลที่อาจเป็นไปได้: Influencer มักทำหน้าที่เป็น "ตัวจุดประกาย" หรือ "ป้ายยา" ทำให้คนรู้จักโปรโมชั่นหรือร้านอาหารใหม่ๆ และสร้างความอยากลองตาม แต่สุดท้ายผู้บริโภคก็ยังกลับไปพิจารณาที่ราคาและความน่ากินของอาหารอยู่ดี4. ช่วงเวลา (Time/Period) - 1.4%: เป็นปัจจัยที่ถูกนึกถึงน้อยที่สุด เวลาในการสั่งหรือระยะเวลาโปรโมชั่น ไม่ใช่ประเด็นหลักที่คนนำมาพูดถึง
เหตุผลที่อาจเป็นไปได้: อาจเป็นเพราะ "ช่วงเวลา" เป็นปัจจัยพื้นฐานที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว (เช่น สั่งตอนเที่ยงเพราะหิว) จึงไม่ได้ถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลหลักในการเลือกร้านหรือแอปฯ เท่ากับราคาและประเภทอาหารที่ดึงดูดใจมากกว่า
คำว่า "ถูก" เป็นช่วงราคาที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุด รองลงมาคือ "คุ้ม" นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานมีความอ่อนไหวต่อราคาสูง แต่ก็ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงินเช่นกัน จาก insight นี้ นักการตลาดหรือเจ้าของร้านอาหารสามารถนำไปปรับใช้ในการวางกลยุทธ์การตลาดและการนำเสนอสินค้าให้สอดคล้องกับความเข้าใจของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยนะ
ชนิดของเมนู
จากแผนภูมิด้านบนจะเห็นว่า อาหารอีสาน นั้นถือว่ามาแรงแซงโค้งอาหารประเภทอื่นๆใน Delivery App เลยก็ว่าได้ ซึ่งรองสัดส่วนมากที่สุดถึง 45.1% เรียกว่าเกือบครึ่งนึงของทั้งหมดเลยทีเดียว ตามมาด้วย อาหารจานเดียว (เช่น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว) ที่ 20.2% และ อาหารคลีน ที่ 11.6% ส่วนที่เหลือก็จะเป็นอาหารประเภทอื่นๆ เช่น ฟาสต์ฟู้ด, อาหารจีน, อาหารเกาหลี, อาหารญี่ปุ่น ในสัดส่วนที่น้อยกว่าค่อนข้างมาก
วิเคราะห์สาเหตุที่เป็นไปได้:
อาหารอีสาน (45.1%): รสชาติถูกปากคนไทยส่วนใหญ่: อาหารอีสานมีรสชาติจัดจ้าน ทั้งเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หวาน ครบรส ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมากความหลากหลาย: มีเมนูให้เลือกเยอะ ตั้งแต่ส้มตำ ลาบ น้ำตก ไก่ย่าง คอหมูย่าง ต้มแซ่บ ฯลฯ ทำให้ไม่เบื่อทานง่าย ทานได้หลายโอกาส: จะทานคนเดียว ทานกับเพื่อน หรือครอบครัวก็ได้หมดราคาเข้าถึงง่าย: เมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น หลายๆ ร้านอาหารอีสานมีราคาที่ไม่สูงมากนักกระแสและความนิยม: อาหารอีสานเป็นที่นิยมอยู่แล้ว และยิ่งมีร้านดังๆ หรือเมนูใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็ยิ่งกระตุ้นความอยากทานมากขึ้นไปอีกอาหารจานเดียว (20.2%): ความสะดวก รวดเร็ว: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็ว และสะดวกต่อการสั่งผ่าน Delivery App ต่างๆ ไม่ต้องเลือกกับข้าวหลายอย่าง สั่งปุ๊บ ได้ทานเลยอิ่มท้องในเมนูเดียว: ตอบโจทย์คนที่ทานคนเดียว หรือต้องการความคุ้มค่าคุ้นเคย: เป็นเมนูที่คนไทยคุ้นเคยและทานกันเป็นประจำอยู่แล้วอาหารคลีน (11.6%):
กระแสรักสุขภาพมาแรง: ปัจจุบันคนใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นเยอะ ทั้งเรื่องการกิน การออกกำลังกาย อาหารคลีนเลยกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของคนที่อยากดูแลตัวเอง ควบคุมน้ำหนัก หรือต้องการอาหารที่ไม่ปรุงแต่งมากนักความสะดวกในการเข้าถึง: เมื่อก่อนร้านอาหารคลีนอาจจะหาทานยากหน่อย แต่เดี๋ยวนี้มีร้านอาหารคลีนบนแอปเดลิเวอรี่ให้เลือกเยอะมาก แถมมีเมนูหลากหลาย ไม่ได้มีแค่ผักต้ม ไก่ต้ม เหมือนเมื่อก่อน ทำให้สั่งทานได้ง่ายและไม่เบื่อตอบโจทย์คนทำงาน/คนไม่มีเวลา: สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเตรียมอาหารเอง การสั่งอาหารคลีนผ่าน Delivery App ก็สะดวกมาก ได้ทานของมีประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเองภาพลักษณ์และการสื่อสาร: มีการโปรโมทเรื่องอาหารคลีนผ่านโซเชียลมีเดียเยอะ ทำให้คนทั่วไปรู้จักและเปิดใจลองทานมากขึ้นอาหารจีน (7.4%):
ความคุ้นเคยและรสชาติหลากหลาย: อาหารจีนหลายๆ เมนูเป็นที่คุ้นเคยของคนไทยอยู่แล้ว เช่น ข้าวผัด โกยซีหมี่ ราดหน้า หรือพวกติ่มซำ มีรสชาติที่ทานง่าย ตั้งแต่จืดๆ กลมกล่อม ไปจนถึงรสจัดจ้านตัวเลือกหลากหลาย: มีตั้งแต่อาหารจานเดียวง่ายๆ ไปจนถึงกับข้าวที่ทานร่วมกันหลายคนได้ ทำให้ตอบโจทย์ทั้งการทานคนเดียวและทานเป็นกลุ่มความรู้สึกเป็นมื้อพิเศษ/ Comfort Food: สำหรับบางคน อาหารจีนบางประเภทอาจให้ความรู้สึกเหมือนเป็นมื้อพิเศษ หรือเป็นอาหารที่ทานแล้วรู้สึกสบายใจ (Comfort Food)มีร้านให้เลือกเยอะ: ร้านอาหารจีนก็มีให้เลือกสั่งผ่าน Delivery App เยอะเช่นกัน ตั้งแต่ร้านสตรีทฟู้ดไปจนถึงร้านระดับภัตตาคารอาหารฟาสต์ฟู้ด (6.7%):
ความสะดวก รวดเร็ว และความอยากเฉพาะหน้า: จุดแข็งหลักของฟาสต์ฟู้ดคือความเร็ว สั่งผ่าน Delivery App ได้ง่าย ได้เร็ว เหมาะกับเวลาเร่งรีบ หรือเวลาที่อยากทานอะไรที่สนองความอยากเฉพาะหน้า เช่น ไก่ทอด เบอร์เกอร์ พิซซ่า เฟรนช์ฟรายส์แบรนด์แข็งแกร่งและการตลาด: แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดเจ้าดังๆ มีการตลาดที่แข็งแกร่ง มีโปรโมชั่นออกมาสม่ำเสมอ ทำให้คนนึกถึงและสั่งผ่าน Delivery App ได้ง่ายเป็น"ของอร่อย"ในบางโอกาส: แม้จะไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพ แต่คนไทยหลายๆคนนั้นก็มองว่าฟาสต์ฟู้ดเป็นของอร่อยที่นานๆ ทานที หรือเป็นรางวัลให้ตัวเองราคาเข้าถึงง่ายในบางเมนู: บางเมนูหรือบางเซ็ตโปรโมชั่นก็มีราคาที่ค่อนข้างเป็นมิตรช่วงเวลาในการสั่ง
ท่านผู้อ่านยังไหวกันใช่ไหม ถ้ายังไหวกัน มาดูแผนภูมิอันนี้นี้กันเลย โดยคราวนี้เราจะเน้นไปที่ "ช่วงเวลาในการสั่ง" อาหารผ่าน Delivery App ซึ่งจะเห็นได้ว่า ช่วงเวลาที่คนนิยมสั่งอาหารมากที่สุดคือ "มื้อกลางวัน" และ "มื้อเช้า" ซึ่งสองช่วงเวลานี้รวมกันก็กินสัดส่วนไปกว่า 90% ของการสั่งทั้งหมดเลยทีเดียว
วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบที่เป็นไปได้:
1. มื้อกลางวัน (47.6%) และ มื้อเช้า (45.1%) เป็นช่วงพีคสุดๆ:
พฤติกรรมคนทำงานและนักเรียน/นักศึกษา: มื้อกลางวันเป็นเวลาพักทานอาหารของคนส่วนใหญ่ที่ทำงานในออฟฟิศ หรือเรียนหนังสือ การสั่งอาหารผ่าน Delivery App จึงสะดวก รวดเร็ว ถ้าสมมุติวันไหนฝนตกหรืออากาศร้อนจัดก็ไม่จำเป็นต้องออกไปซื้อข้างนอกด้วยตนเองความเร่งรีบในตอนเช้า: หลายคนอาจไม่มีเวลาเตรียมอาหารเช้า หรือต้องการความสะดวกรวดเร็วก่อนไปทำงาน/ไปเรียน การสั่งผ่าน Delivery App จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผลกระทบ: สมมุติว่าถ้าออเดอร์เยอะมากๆ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน (โดยเฉพาะมื้อกลางวันและมื้อเช้า) ก็มักจะเกิดปัญหาการจัดส่งล่าช้าเพราะจำนวนคนขับอาจจะไม่เพียงพอต่อปริมาณออเดอร์ที่เข้ามาพร้อมๆ กัน ทำให้ลูกค้าต้องรอนานขึ้น2. มื้อเย็น (4.9%) และ มื้อดึก (2.5%) สัดส่วนน้อยกว่ามาก:
มื้อเย็น: หลายคนอาจจะเลิกงานแล้วเดินทางกลับบ้าน อาจจะเลือกทำอาหารทานเอง แวะซื้อกลับบ้าน หรือออกไปทานข้าวนอกบ้านกับครอบครัว/เพื่อนฝูง ทำให้สัดส่วนการสั่งอาหารผ่าน Delivery App น้อยกว่าช่วงกลางวันมื้อดึก: เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่พักผ่อนแล้ว ร้านอาหารก็เริ่มปิดบริการ ทำให้ตัวเลือกน้อยลง และความต้องการสั่งอาหารก็น้อยลงตามไปด้วย ยกเว้นกลุ่มคนที่ทำงานกะดึก หรือคนที่นอนดึกแล้วหิวสัดส่วนของแบรนด์ต่างๆ
จากข้อมูลด้านแบรนด์ของแอปพลิเคชัน พบว่า “LINE MAN” เป็นคีย์เวิร์ดที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ขณะที่ “GRABFOOD” ตามมาเป็นอันดับสอง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากจำนวน Engagement แล้ว GRABFOOD กลับครองอันดับหนึ่ง เนื่องจากการจับมือกับศิลปินในการจัดแคมเปญพิเศษ ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์และสร้างกระแสให้กับแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิเคราะห์ประเด็นสำคัญ:
1. Line Man ยืนหนึ่งเรื่องการถูกพูดถึงโดยรวม (Keyword Mentions):
ด้วยสัดส่วน 45.6% แสดงว่าโดยภาพรวมแล้ว คนทั่วไปอาจจะนึกถึง พูดคุย หรือค้นหาเกี่ยวกับ Line Man มากที่สุด อาจจะด้วยฐานผู้ใช้งานที่กว้างขวาง ความคุ้นเคยกับแอปพลิเคชัน LINE อยู่แล้ว หรือโปรโมชั่นทั่วไปที่ดึงดูดการพูดถึงในวงกว้าง 2. GrabFood เด่นเรื่องการมีส่วนร่วม (Engagement) จากแคมเปญพิเศษ:
แม้ว่าการพูดถึงโดยรวม (Keyword Mentions) ของ GrabFood (38.7%) จะน้อยกว่า Line Man เล็กน้อย แต่ในแง่ของ "Engagement" (การมีส่วนร่วม เช่น ไลค์ แชร์ คอมเมนต์) GrabFood กลับทำได้ดีกว่าจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง สาเหตุสำคัญ: ข้อความระบุชัดเจนว่า มาจากการที่ GrabFood "ร่วมงานกับศิลปินในการทำแคมเปญพิเศษ" การใช้ศิลปินหรือ Influencer ที่มีชื่อเสียงมาทำแคมเปญ มักจะกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมจากแฟนคลับและผู้ติดตามได้สูงมาก ทำให้แคมเปญนั้นๆ กลายเป็นไวรัลหรือถูกพูดถึงในเชิงบวกและมีการโต้ตอบเยอะเป็นพิเศษ ผลกระทบและข้อสังเกต:
การแข่งขันสูงระหว่างสองยักษ์ใหญ่: Line Man และ GrabFood ยังคงเป็นคู่แข่งหลักในตลาดนี้ โดยแต่ละเจ้าก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน Line Man อาจจะแข็งแกร่งในเรื่องการรับรู้ในวงกว้าง (Awareness) ส่วน GrabFood ก็เก่งในเรื่องการสร้างกิจกรรมที่ดึงดูดการมีส่วนร่วมสูงๆ (Engagement)พลังของ Influencer Marketing : กรณีของ GrabFood แสดงให้เห็นว่าการทำแคมเปญร่วมกับศิลปินหรือผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์นั้นได้ผลดีมากในการสร้าง Engagement และทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงอย่างมีนัยสำคัญ ผู้เล่นรายอื่นยังต้องพยายาม: ShopeeFood และ Robinhood ยังมีส่วนแบ่งการพูดถึงที่น้อยกว่าพอสมควร ซึ่งอาจจะต้องหากลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างหรือน่าสนใจยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้Delivery app แบรนด์ต่างๆ แอป บริการหลัก บริการอื่น (นอกจากส่งอาหาร) จุดเด่นเฉพาะของแต่ละแอป LINE MAN ส่งอาหาร (Food) ส่งของ/เอกสาร เรียกแท็กซี่ Mart ส่งพัสดุ Etc. มี Wongnai เชื่อมรีวิวร้าน เหมาะกับร้านที่ต้องการสร้างแบรนด์จากคะแนนรีวิวและรูปภาพเมนูบน Wongnai Grab ส่งอาหาร (GrabFood) เรียกรถ (GrabCar/Taxi) GrabMart (ของชำ) GrabExpress (ส่งของ) Etc. ครบจบในแอปเดียว (Ride, Food, Mart) รองรับหลายประเทศ/หลายบริการ ShopeeFood ส่งอาหาร (ShopeeFood) Shopee Mall (ซื้อของ) Supermarket (ของสด) ดึงดูดผู้ใช้ Shopee ecosystem Robinhood ส่งอาหาร (Robinhood Food) เรียกรถ (Ride) จองที่พัก (Travel) ส่งของ (Express) บริการช่าง/แม่บ้าน (Service) ไม่เก็บค่าคอมร้านค้า (0%) สนับสนุนร้านรายย่อย-คนไทย เติบโตเร็ว, ขยายบริการหลากหลายใน ecosystem
สัดส่วนประชากรที่สนใจ
1. ภาพรวมหลัก: เพศไหนพูดถึงมากกว่ากัน?
ข้อมูลจากวงกลม: ผู้หญิง: 59.1% (พูดถึงหรือมีส่วนร่วมมากกว่า)ผู้ชาย : 40.9%เมื่อวิเคราะห์แบบองค์รวมแล้ว "ผู้หญิง" เป็นกลุ่มที่สนใจหรือพูดถึง Delivery App บนโลกโซเชียลมากกว่า "ผู้ชาย"
ทำไมผู้หญิงถึงพูดถึงเยอะกว่า? (สาเหตุที่เป็นไปได้): บทบาทในการดูแลเรื่องอาหาร: ผู้หญิงหลายคนมักเป็นคนหลักในการตัดสินใจและจัดการเรื่องอาหารการกินของตัวเองและครอบครัวใส่ใจรายละเอียดและโปรโมชั่น: อาจจะชอบค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบร้านค้า หรือมองหาโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากกว่าชอบแชร์ประสบการณ์: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะแชร์ประสบการณ์การกินหรือการใช้บริการต่างๆ บนโซเชียลมีเดียมากกว่า2. เจาะลึกตามช่วงอายุ: แต่ละวัยใครเด่น? และเพศไหนมีบทบาทมากกว่ากัน?
กลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงาน (ต่ำกว่า 18 ปี และ 18-24 ปี): ข้อมูล: ในสองกลุ่มอายุนี้ "ผู้ชาย" มีสัดส่วนการพูดถึงหรือมีส่วนร่วมสูงกว่าผู้หญิงทำไมถึงเป็นแบบนั้น? (สาเหตุที่เป็นไปได้): ความคล่องตัวทางเทคโนโลยี: คนรุ่นใหม่เพศชายอาจจะคุ้นเคยและใช้เทคโนโลยีในการสั่งอาหารผ่าน Delivery App หรือแสดงความเห็นอย่างรวดเร็วไลฟ์สไตล์: อาจจะสั่งอาหารสำหรับตัวเองคนเดียวบ่อยกว่า หรือสนใจอาหารประเภทที่วัยรุ่นชายนิยม ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่สามารถหาซื้อได้ง่ายกว่าเพศหญิงกิจกรรมออนไลน์: อาจมีส่วนร่วมกับเพจหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเกม กีฬา ที่มีการพูดถึงการสั่งอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องกลุ่มวัยทำงานและผู้ใหญ่ตอนต้น (25-34 ปี และ 35-44 ปี): ข้อมูล: ในสองกลุ่มอายุนี้ "ผู้หญิง" มีสัดส่วนการพูดถึงหรือมีส่วนร่วมสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงอายุ 25-34 ปี ถือเป็นกลุ่มที่ผู้หญิงแอคทีฟมากที่สุดทำไมถึงเป็นแบบนั้น? (สาเหตุที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง): มีกำลังซื้อและชีวิตเร่งรีบ: เป็นวัยทำงาน มีรายได้ และอาจมีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบาย การสั่งอาหารจึงตอบโจทย์ดูแลตัวเองและครอบครัว: หลายคนเริ่มดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น หรือต้องรับผิดชอบเรื่องอาหารของครอบครัวคุ้นเคยกับแอปพลิเคชัน: เป็นกลุ่มที่ใช้งานสมาร์ทโฟนและแอปสั่งอาหารได้อย่างคล่องแคล่วกลุ่มผู้ใหญ่ (45 ปีขึ้นไป): ข้อมูล: "ผู้หญิง" ในกลุ่มอายุนี้ก็ยังคงมีสัดส่วนการพูดถึงหรือมีส่วนร่วมสูงกว่าผู้ชายมาก และน่าสนใจว่าเป็นอีกกลุ่มที่ผู้หญิงมีการใช้งานหรือพูดถึงในระดับที่สูงมากและจัดว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่นๆ โดยใกล้เคียงกับกลุ่ม 25-34 ปีทำไมถึงเป็นแบบนั้น? (สาเหตุที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง): ต้องการความสะดวกสบาย: อาจจะลดภาระการทำอาหารเองลง และหันมาพึ่งพาความสะดวกจากการสั่งอาหารดูแลสุขภาพหรือสั่งให้คนในครอบครัว: อาจจะใส่ใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือสั่งให้ลูกหลาน หรือสมาชิกคนอื่นในบ้านปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้ดี: ผู้ใหญ่ยุคนี้หลายคนช้งานเทคโนโลยีได้ดีกว่าที่คิดStep 4 - Summarize สรุปผลการ research
ภาพรวม Delivery App ในประเทศไทย
แอปสั่งอาหารเดลิเวอรี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ เนื่องจากความสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน
แอปยอดนิยมและการแข่งขันในตลาด:
แอปพลิเคชันที่คนไทยนิยมใช้หลักๆ ได้แก่ LINE MAN, GRABFOOD, SHOPEEFOOD และ ROBINHOOD แต่ละแบรนด์ต่างก็มีจุดเด่นในด้านบริการและราคาที่แตกต่างกันออกไป และยังมีการแข่งขันกันสูงผ่านการนำเสนอโปรโมชันและฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ พฤติกรรมการสั่งอาหารของผู้บริโภค:
บริการหลักที่ผู้ใช้ให้ความสนใจคือ การสั่งอาหาร ช่วงเวลาที่คนไทยนิยมสั่งอาหารมากที่สุดคือ มื้อกลางวัน (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการสั่งซื้อหนาแน่นที่สุด) และรองลงมาคือ มื้อเช้า ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุดเมื่อตัดสินใจสั่งอาหาร เรียงตามลำดับคือ:ราคา เมนูอาหาร คุณภาพบริการ โปรโมชัน เมนูยอดฮิตติดชาร์ต:
อาหารอีสาน (เช่น ส้มตำ, ยำ, ไก่ย่าง) อาหารจานเดียว ที่สั่งได้ง่ายๆ เป็นเมนูประจำ (เช่น ข้าวผัด) อาหารคลีน ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมสูง สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อสั่งอาหารเดลิเวอรี่ การมีส่วนร่วมและช่องทางโซเชียลมีเดีย:
GRABFOOD เป็นแบรนด์ที่สร้าง Engagement (การมีส่วนร่วมของผู้ใช้) ได้สูงสุด โดยเฉพาะจากการทำแคมเปญร่วมกับศิลปินบนช่องทาง X (TWITTER) X (TWITTER) เป็นช่องทางโซเชียลมีเดียที่แบรนด์เดลิเวอรี่ต่างๆ ถูกพูดถึงมากที่สุด ตามมาด้วย FACEBOOK และ INSTAGRAM Step 5 - Make Solution & Idea จุดประกายไอดีธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร (ฉบับกระชับ นำไปใช้ได้จริง) จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปเป็นแนวทางและไอเดียเพื่อต่อยอดธุรกิจร้านอาหารไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็ก, streetfood, SME, หรือ ร้านดังระดับภัตตาคาร ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาต่อยอดธุรกิจของคุณผ่านการขายอาหารบน Delivery App ได้ โดยสามารถอ่านต่อตามสเต็ปด้านล่างนี้ได้เลย:
1. พัฒนาเมนูให้ "ใช่" และ "คุ้มค่า":
เปิดวาร์ปเน้นเมนูยอดฮิต: อาหารอีสาน: ส้มตำ, ยำ, ไก่ย่าง ยังคงครองใจคนส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นหากคุณขายอาหารไทยก็ควรที่จะมีรายการอาหารเหล่านี้ประดับเมนูไว้ด้วยเช่นเดียวกันอาหารจานเดียว: ข้าวผัด และเมนูง่ายๆ ขายดีเสมอ ถากคุณขายอาหารตามสั่ง อาหารไทย หรือแม้แต่คาเฟ่ คุณก็ควรที่จะมีเมนูเหล่านี้ติดร้านไว้เสมอ แต่ไม่ได้หมายถึงแค่ให้มีวางขายแค่หน้าร้านอย่างเดียวนะ ต้องมีบน Delivery App ด้วย!อาหารคลีน/สลัด: เทรนด์สุขภาพมาแรง ดังนั้นต้องมีติดร้าน!ราคาดึงดูดใจ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ "ราคา" มากที่สุด ดังนั้นคุณจึงควรจัดโปรโมชั่นที่ลูกค้าอ่านแล้วเข้าใจได้โดยง่ายบน Delivery App ไม่ต้องเกิดความรู้สึกสงสัยว่าตกลงโปรนี้มันคืออะไรแน่และพยายามทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของร้านคุณอ่านแล้วรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะสั่ง ไม่ใช่อ่านแล้วรู้สึกในใจว่าจัดโปรแบบนี้ ไม่ต้องจัดซะยังดีกว่าจัดเซ็ตเมนู: ช่วงมื้อเช้าและมื้อกลางวันคือช่วงพีคที่คนสั่งอาหารผ่าน Delivery App เยอะมาก และมักต้องการความรวดเร็ว เซ็ตเมนูที่จับคู่มาแล้วช่วยให้ลูกค้าสั่งง่าย อิ่มครบในราคาที่คำนวณมาแล้ว และยังอาจช่วยเพิ่มยอดขายต่อออเดอร์ให้ร้านได้ด้วยควรปรับกลยุทธ์ตามขนาดร้าน: หากคุณเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็ก: ด้วยทรัพยากรที่อาจจำกัด การเน้นเมนูเด็ดที่ทำง่าย วัตถุดิบคุ้นเคย และควบคุมต้นทุนได้ดี จะช่วยให้บริหารจัดการง่ายขึ้นและรักษากำไรได้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการภัตตาคาร: ก็สามารถใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์เมนูยอดนิยมให้ดูพรีเมียมขึ้น หรือพัฒนาเมนูสุขภาพที่แปลกใหม่และมีคุณภาพสูง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อและใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ2. บริหารจัดการช่วงเวลาขาย และสร้างโอกาสนอกช่วงพีค:
เตรียมร้านให้พร้อมเต็มกำลังสำหรับช่วงพีค (เช้า-กลางวัน): เพราะอะไร: หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลในหน้าก่อนๆ จะพบว่ายอดสั่งอาหารจะทะลักเข้ามาใน Delivery App ในช่วงเช้า (อัตราการสั่งอยู่ที่ 45.1%) และกลางวัน (อัตราการสั่งอยู่ที่ 47.6%) การเตรียมวัตถุดิบ กำลังคน และระบบจัดการออเดอร์ให้พร้อม จะช่วยลดปัญหาคอขวด ออเดอร์ตกหล่น หรือส่งช้า ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าโดยตรงกระตุ้นยอดขายในช่วงเย็น-ดึก (Off-Peak): เพราะอะไร: หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลในหน้าก่อนๆ จะพบว่าช่วงเย็นและดึกจะมียอดสั่งน้อยกว่ามาก จึงเป็นโอกาสทองในการสร้างยอดขายเพิ่ม ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะช่วงเวลานี้ เช่น ลดราคา, แถมเครื่องดื่ม หรือสร้างสรรค์เมนูพิเศษสำหรับมื้อเย็น/มื้อดึกโดยเฉพาะทาง Delivery App3. การตลาดตรงกลุ่มเป้าหมาย และใช้โซเชียลให้เป็นประโยชน์:
เข้าใจลูกค้าของคุณ: ผู้หญิง (โดยเฉพาะ 25-34 ปี และ 45 ปีขึ้นไป): เป็นกลุ่มหลักที่มีกำลังซื้อ ชอบเรื่องความคุ้มค่า, ประโยชน์ต่อสุขภาพ, สนใจเมนูสำหรับครอบครัว หรือความสะดวกสบายผู้ชายอายุน้อย (<24 ปี): เน้นความเร็ว, ความง่าย, ความคุ้มค่า, หรือเซ็ตเมนูสำหรับทานคนเดียวเลือกใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย: Facebook: เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารโปรโมชั่น, เมนูใหม่ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าX (Twitter) / Instagram: เหมาะกับการสร้างกระแส (Buzz marketing), โชว์รูปอาหารสวยๆที่ชวนหิวหรือเรียกน้ำย่อนได้ หรือทำแคมเปญเฉพาะกิจร่วมกับ Influencer (หากมีงบประมาณ)หากคุณเป็นร้าน Streetfood หรือ SME: ควรใช้ Facebook Page/Group ในพื้นที่, LINE OA สื่อสารโปรโมชั่นกับลูกค้าตรง นอกจากพึ่งพาแค่บนช่องทาง Delivery App อย่างเดียวหากคุณเป็นเจ้าของกิจการภัตตาคาร: ควรสร้างแบรนด์ ผ่านคอนเทนต์คุณภาพ, รีวิวจากลูกค้า, และอาจมีโปรแกรมสมาชิกเพิ่มมาเพื่อรักษาฐานลูกค้าให้ติดหนึบกับแบรนด์ของคุณให้นานที่สุด 4. เลือกแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ และใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด:
เลือกแอปที่ใช่: พิจารณาว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณนิยมใช้แอปไหน (เช่น Line Man มีฐานผู้ใช้กว้าง, GrabFood เด่นเรื่องแคมเปญ Engagement) และดูเงื่อนไขค่าคอมมิชชั่นประกอบใช้ฟีเจอร์ของแอปให้คุ้ม: เข้าร่วมแคมเปญที่ทาง Delivery App จัด, ใช้เครื่องมือโปรโมทร้าน, สร้างคูปองส่วนลดใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้อง: ในชื่อร้านหรือคำอธิบายเมนู เช่น #ชื่อร้านของคุณ #เมนูเด็ด #ส่งฟรี #อาหารคลีน #ส้มตำแซ่บ เพื่อให้ลูกค้าค้นหาเจอได้ง่าย5. อย่าลืมพื้นฐานสำคัญ: คุณภาพ และบริการ:
รสชาติอาหารสม่ำเสมอ: คือหัวใจของการสร้างลูกค้าประจำแพ็กเกจจิ้งเหมาะสม: อาหารต้องถึงมือลูกค้าในสภาพดี น่าทานรับฟังความคิดเห็นลูกค้า: นำคำติชมมาปรับปรุงและพัฒนาบริการอยู่เสมออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะนำเมนูอาหารที่ลูกค้าร้านอาหารของคุณบอกว่าเอามาลงขายใน Delivery App บ้างสิ เพราะต้องเดินทางมาไกลมากกว่าจะได้กินอาหารฝีมือขั้นเทพจากคุณ หรือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร รวมถึงอาจจะยังไม่ชำนาญในบางแพลตฟอร์ม ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปหากให้เราช่วย เพราะ Sellsuki อยากพาธุรกิจของคุณโตไปกับเรานะ เรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร (WizeMoves Consult ) ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย (WizeMoves e-Dis ) บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร ที่มีลูกค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ กว่า 9,0000 บัญชี (LINE Agency) พร้อมด้วย Akita Fulfillment บริการคลังสินค้าครบวงจร และบริการด้านอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ
สำหรับคนที่อยากเจาะลึก Data Research Insight เวอร์ชันเต็มของเดือนนี้ สามารถดาวน์โหลดฟรี เพียงลงทะเบียนด้านล่างนี้ได้เลย!
และเพื่อไม่ให้พลาดความรู้และสาระสำคัญแบบนี้ก่อนใคร ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารหรือรายการพาโตนะ Podcast Podcast รายการดีๆ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ อย่าลืมกดติดตามน้องสุกิบนช่องทาง Facebook , Youtube , Instagram และ TikTok
สำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ และที่ปรึกษาธุรกิจมืออาชีพ ที่พร้อมพาธุรกิจของคุณเติบโตไปอีกขั้น Sellsuki เป็นมากกว่าเพื่อนคู่คิดที่คุณกำลังมองหา
เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ โดยสามารถตอบโจทย์ตรงจุดทุกความต้องการ เราพร้อมแล้วที่จะพาธุรกิจของคุณเติบโตไปกับเรานะ