อยากสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง? เริ่มจากการมี ที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ ที่ใช่
ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน การมีสินค้าที่ดีอาจไม่พออีกต่อไป การมีแบรนด์ที่แข็งแรงและเป็นที่จดจำคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์ที่เฉียบคมและความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในกุญแจที่จะทำให้แบรนด์แข็งแรงตั้งแต่แรกคือการมี ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ (Brand Consulting) ที่รู้ทางลัดและช่วยเลี่ยงการลองผิดลองถูก
หลายคนอาจสงสัยว่าการจ้าง ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ คุ้มค่าจริงไหม? และพวกเขาจะเข้ามาช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร?
หน้าที่หลักของ ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ Brand Consultant คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยวางรากฐานและกำหนดทิศทางของแบรนด์ให้ชัดเจน
- Brand Strategy & Brand Positioning
: กำหนดทิศทางชัดเจนว่าแบรนด์จะอยู่ตรงไหนของตลาด ตอบโจทย์ใคร และมีคุณค่าที่แตกต่างจากคู่แข่งยังไง
- Identity Development
: แปลงกลยุทธ์เป็นสิ่งจับต้องได้ เช่น โลโก้ ภาพลักษณ์ โทนเสียง การเลือกสื่อ เพื่อให้แบรนด์มีบุคลิกที่ชัด
- Customer Experience
: วางแผนประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากทุก Touchpoint เช่น โซเชียลมีเดีย, ร้านค้า, แพ็กเกจจิ้ง
- Communication Plan
: ออกแบบวิธีเล่าเรื่องและสื่อสารกับลูกค้า ให้ภาพจำและคุณค่าเชื่อมโยงกับตัวตนของแบรนด์
ถ้าไม่มีที่ปรึกษา เจ้าของธุรกิจมักจะมองแต่ “สิ่งที่อยากพูด” แทนที่จะคิดว่า “ลูกค้าอยากได้ยินอะไร”
อยากให้แบรนด์ของคุณมีทิศทางที่ชัดเจนตั้งแต่แรก? ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญ WizeMoves Consult ช่วยวางกลยุทธ์แบรนด์และ Positioning ที่แตกต่าง
ขั้นตอนการสร้างแบรนด์ที่ธุรกิจควรรู้
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่โปรเจกต์ครั้งเดียว แต่เป็น “กระบวนการ” ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยมี 5 ขั้นตอนหลัก:
- วิเคราะห์ตลาดและกลุ่มเป้าหมาย
- ศึกษาตลาด คู่แข่ง พฤติกรรมลูกค้า
- หาคำตอบว่า “ลูกค้าต้องการอะไร” และ “เขามองแบรนด์เรายังไงตอนนี้”
- Insight ที่แม่น คือหัวใจที่จะพาแบรนด์ไปถูกทาง
- สร้าง Brand Identity
- โลโก้, โทนสี, ฟอนต์, ภาษาของแบรนด์ (Tone of Voice)
- ออกแบบให้สะท้อนบุคลิกแบรนด์ เช่น พรีเมียม, เป็นกันเอง, หรือเชื่อถือได้
- ต้องสอดคล้องกับความรู้สึกที่อยากให้ลูกค้าจดจำ
- วาง Brand Positioning
- ระบุตำแหน่งในตลาด: เราคือ “ใคร” ที่แตกต่างจากคู่แข่ง
- เช่น แบรนด์กาแฟ → จะเป็น “กาแฟหรู” หรือ “กาแฟเข้าถึงง่าย”
- Positioning ชัด ลูกค้าจะเข้าใจทันทีว่าแบรนด์คุณยืนอยู่ตรงไหน
- การสื่อสารต่อเนื่อง
- ใช้ทุกช่องทาง (Facebook, TikTok, Website, PR) เพื่อสื่อสารภาพเดียวกัน
- ไม่ใช่วันหนึ่งหรูหรา อีกวันเป็นกันเอง ลูกค้าจะงง
- consistency = ความน่าเชื่อถือ
วัดผลและปรับกลยุทธ์ในงาน Branding
1. วัดผลด้วย KPI ของแบรนด์ (Brand Metrics)
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่แค่เรื่องโลโก้หรือแคมเปญที่สวย แต่ต้องวัดผลได้จริงว่ามัน “สร้างคุณค่า” หรือ “สร้างการจดจำ” ได้มากน้อยแค่ไหน
- Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์)
: สัดส่วนคนที่รู้จัก/นึกออกเมื่อนึกถึงหมวดสินค้า : วัดด้วยแบบสอบถาม, การค้นหา (Search Volume), Social Listening
- Brand Consideration (การพิจารณา)
: เมื่อลูกค้าจะซื้อสินค้าในหมวดเดียวกัน เขาคิดถึงแบรนด์คุณเป็นตัวเลือกหรือเปล่า : วัดด้วย Customer Survey, Poll, Market Research
- Brand Preference & Loyalty (ความชื่นชอบ/ความภักดี)
: สัดส่วนลูกค้าที่เลือกแบรนด์ซ้ำหรือแนะนำต่อ : วัดด้วย Repurchase Rate, NPS (Net Promoter Score)
- Emotional Connection (ความผูกพันทางอารมณ์)
: ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์นี้ “ใช่” สำหรับเขาหรือไม่ : วัดจากการมีส่วนร่วมเชิงบวก, UGC (User Generated Content) และการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียล
ใช้ Social Listening ของ WizeSight เพื่อติดตามเสียงลูกค้าและวิเคราะห์อารมณ์ที่มีต่อแบรนด์ ช่วยให้ปรับกลยุทธ์สื่อสารได้ตรงใจยิ่งขึ้น : ZOCIAL EYE - Wisesight
2. ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์เชิงลึก
การทำ Branding ต้องใช้ ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative) และ เชิงคุณภาพ (Qualitative)
- เชิงปริมาณ: Social Media Analytics, Google Trends, Website Analytics
- เชิงคุณภาพ: Focus Group, Customer Interview, Review Analysis
เช่น ถ้า Awareness สูง แต่ Conversion ต่ำ อาจแปลว่าลูกค้ารู้จักแบรนด์แต่ยังไม่เชื่อถือ ต้องกลับไปปรับ Messaging หรือ Proof of Trust
3. การปรับกลยุทธ์ Branding ให้สอดคล้องกับตลาด
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่แค่ “ครั้งเดียวจบ” แต่เป็นการปรับภาพลักษณ์และการสื่อสารตลอดเวลา
- เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน
: เช่น คนเริ่มเน้น Sustainability ปรับแบรนด์ให้ชัดว่ามี Eco-Friendly Process
- เมื่อคู่แข่งขยับ
: ถ้าคู่แข่งสื่อสาร Narrative ใหม่ที่ได้ผล คุณต้องหามุมใหม่ที่แตกต่างและน่าจดจำ
- เมื่อแบรนด์โตขึ้น
: จาก Local → Regional → Global → ต้องรีแบรนด์บางจุด เช่น การสื่อสารภาษา, Tone of Voice, Visual Identity
4. วงจร Branding Strategy (Brand Loop)
เพื่อให้แบรนด์ไม่หยุดนิ่ง ควรทำเป็นวงจร (Cycle)
- Define: กำหนดภาพลักษณ์และคุณค่า (Brand Value)
- Execute: สื่อสารผ่าน Touchpoints ต่าง ๆ
- Measure: วัดด้วย Brand Metrics
- Refine: ปรับกลยุทธ์/Brand Message ให้ตรงกับ Insight ใหม่
- Repeat: ทำซ้ำเป็นวงจร
การสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงต้องอาศัยทั้งการ วางรากฐานที่ชัด และ การปรับตามตลาดอย่างยืดหยุ่น
เพราะแบรนด์ที่หยุดวัดผล = แบรนด์ที่ไม่รู้ว่ากำลัง “อยู่ในใจลูกค้า” จริงหรือไม่
วิธีสร้างแบรนด์ให้แตกต่างและน่าจดจำ
ในตลาดที่มีคู่แข่งเต็มไปหมด “การแตกต่าง” คือสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าเลือกคุณ
วิธีสร้างแบรนด์ให้แตกต่าง
- Brand Storytelling
: เล่าเรื่องที่สะท้อนคุณค่าของแบรนด์ ไม่ใช่ขายของตรง ๆ เช่น แบรนด์สุขภาพ → เล่าเรื่อง “การใช้ชีวิตที่ดีขึ้น”
- Emotional Branding
: ให้ลูกค้ารู้สึกว่าการใช้สินค้าคือการ “เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า” เช่น Apple ไม่ขายแค่ iPhone แต่ขายความเป็น “นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก”
- สร้าง Touchpoint ที่จำได้
: ทุกการสัมผัสต้องสอดคล้อง เช่น พนักงานพูดจา, แพ็กเกจจิ้ง, หรือแม้แต่กลิ่นในร้าน → คือส่วนหนึ่งของประสบการณ์แบรนด์
- ความหมายมากกว่าสินค้า
: ลูกค้าไม่ได้ซื้อกาแฟ = เขาซื้อ “ช่วงเวลาพักผ่อน” ลูกค้าไม่ได้ซื้อครีม = เขาซื้อ “ความมั่นใจในตัวเอง”
ถ้าแบรนด์คุณไม่สามารถบอกได้ว่า “ลูกค้าได้อะไรทางใจ” คุณยังไม่ใช่แบรนด์ที่คนจดจำ
ตัวอย่าง การ สร้าง แบรนด์ : จากแบรนด์ที่ลูกค้าจำไม่ได้ สู่แบรนด์ที่ติดอันดับ 1 บนการค้นหา และถูกพูดถึง-แชร์ต่อบนทุกแพลตฟอร์ม
ปัญหาของลูกค้า
แบรนด์สินค้าเดิม ลูกค้าจำไม่ได้ เพราะภาพจำไม่ชัด ทั้งชื่อแบรนด์และ Positioning ทำให้เวลาลูกค้าเสิร์ชหาสินค้าในหมวดเดียวกัน มักเจอแต่คู่แข่งที่สื่อสารได้ดีกว่า
ผลคือ…
- ยอดขายไม่เติบโต แม้ลงทุนทำคอนเทนต์เอง
- ลูกค้าเลื่อนผ่าน ไม่รู้ว่าสินค้านี้ต่างจากคู่แข่งยังไง
- ผลการค้นหาของแบรนด์แทบไม่ติดอันดับ ทำให้เสียโอกาสทางการตลาด
กลยุทธ์ที่ WizeMoves Consult ที่ปรึกษา สร้างแบรนด์ เข้าไปช่วย
หลังจากการวิเคราะห์ Insight ของกลุ่มเป้าหมาย เราพบว่า ลูกค้าต้องการความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ชัดเจน แต่แบรนด์ยังไม่เคยสื่อสารในทิศทางนั้นเลย
สิ่งที่เราลงมือทำคือ:
- Brand Insight & Positioning
- รีเซ็ตภาพจำแบรนด์ใหม่ให้ชัดเจนขึ้น
- สร้าง Key Message ที่ตอบ Pain Point ของลูกค้า
- Influencer Marketing ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายจริง
- เลือก Influencer ที่ตรงกับ Persona ไม่ใช่แค่ดัง
- วาง Storytelling ที่ทำให้รีวิวดูจริง แต่เชื่อมโยงกับจุดแข็งของแบรนด์
- SEO Integration
- ทำคอนเทนต์คู่กับคีย์เวิร์ดของหมวดสินค้านั้น ๆ
- สร้าง Traffic ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ View
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
- แบรนด์เริ่มถูกพูดถึงและจดจำได้มากขึ้น : เพราะ Influencer เล่าเรื่องในมุมที่ตรงกับกลุ่มเป้า
- ยอด Search เพิ่มขึ้น : ลูกค้าเสิร์ชชื่อแบรนด์เองมากขึ้น
- ติดอันดับ 1 ในการพูดถึงบนแพลตฟอร์มต่างๆ ในหมวดสินค้านั้น (ปี 2022) : จากที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงบนโซเชียล สู่อันดับหนึ่งที่คนพูดถึงและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ
- ยอดขายเติบโตขึ้น : เพราะลูกค้าเชื่อมโยงแบรนด์กับความน่าเชื่อถือและรีวิวจริง
บทเรียนจากเคสนี้
“แบรนด์ที่จำไม่ได้ = แบรนด์ที่ลูกค้าไม่ซื้อ” การสร้างภาพจำต้องใช้ทั้ง Insight + Influencer + SEO ทำงานร่วมกัน ถึงจะเปลี่ยนแบรนด์จากที่ลูกค้ามองข้าม สู่แบรนด์ที่อยู่ในใจและเจอบนหน้าจอ
การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสร้างยอดขาย แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้ “ชัดเจนและน่าจดจำ” อีกด้วย เพราะเมื่ออินฟลูฯที่ใช่ ถ่ายทอดเรื่องราวและคุณค่าของแบรนด์ในมุมที่ลูกค้าสนใจ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ Reach แต่คือ “ภาพจำ” ที่อยู่ในใจกลุ่มเป้าหมาย
ถ้าหากคุณกำลังเจอปัญหาในการสร้างแบรนด์สินค้าอยู่ ให้ทีมที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ WizeMoves ช่วยคุณในการสร้างแบรนด์ให้เป็น Top of mind ของลูกค้า
หากคุณอยากรู้ว่าแบรนด์จะเลือก Influencer ยังไงให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ และช่วยยกระดับภาพลักษณ์ได้จริง
แนะนำให้อ่านบทความนี้ต่อ: หาอินฟลูเอนเซอร์ อย่างไรให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
ที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ vs ลงมือทำเอง : อะไรคุ้มค่ากว่ากัน?
- ทำเอง:
- แน่นอนว่า ประหยัดงบ
- แต่เสี่ยงหลงทาง ลองผิดลองถูก เสียทั้งเวลาและโอกาส
- ขาดมุมมองจากคนนอกที่เป็นกลาง
- ที่ปรึกษาสร้างแบรนด์:
- ได้กลยุทธ์ที่ชัดเจนและเป็นระบบ
- ลดความเสี่ยงจากการเดินทางผิด
- ได้ Insight และเทคนิคที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
- ทำให้ SME ใช้งบอย่างคุ้มค่า ไม่เปลืองไปกับการลองผิดลองถูก
การลงทุนกับที่ปรึกษา = การซื้อเวลา + ซื้อความมั่นใจ ว่าก้าวที่คุณเดินจะไม่สูญเปล่า
ถ้าไม่อยากเสียเวลาและงบไปกับการลองผิดลองถูก ถึงเวลาคุยกับทีมที่ปรึกษาของ WizeMoves Consult ที่ปรึกษาสร้างแบรนด์ ที่จะช่วยให้ทุกก้าวของคุณแม่นยำกว่าเดิม
ทำไมต้อง WizeMoves Consult
- เราไม่ใช่แค่ ที่ปรึกษา แต่เป็น เพื่อนร่วมทีมธุรกิจ
- เชี่ยวชาญหลายอุตสาหกรรม: อาหารเสริม, สกินแคร์, F&B, e-Commerce
- ทำงานแบบ Data-driven วางกลยุทธ์จากข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
- ทีมครบ: Branding + Influencer Marketing + Digital Strategy ช่วยให้แบรนด์คุณชัดเจน + ถูกจดจำ + ขายได้จริง
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องของโลโก้สวย ๆ หรือแพ็กเกจจิ้งเท่านั้น แต่คือการวางกลยุทธ์ที่ทำให้ธุรกิจ ชัดเจนในตลาด และ อยู่ในใจลูกค้า อย่างต่อเนื่อง หากคุณยังเดินเกม Branding ด้วยการลองผิดลองถูก นั่นคือการเสียเวลาและโอกาสที่อาจทำให้คู่แข่งวิ่งแซงไปก่อน
ถึงเวลาที่คุณควรให้ผู้เชี่ยวชาญที่ ปรึกษา สร้าง แบรนด์ช่วยวางกลยุทธ์ ตั้งแต่ การหาตำแหน่งแบรนด์ (Positioning), การเล่าเรื่อง (Storytelling), การใช้ Influencer ที่ตรงกลุ่ม ไปจนถึงการ ต่อยอดด้วย SEO และ Data-driven Marketing เพื่อให้แบรนด์ของคุณเป็นมากกว่า “สินค้า” แต่เป็น “ตัวเลือกแรกในใจลูกค้า”
ถ้าคุณอยากให้แบรนด์ของคุณแข็งแรง แตกต่าง และเติบโตจริง
อย่าปล่อยให้แบรนด์ของคุณเป็นเพียงชื่อในตลาด แต่ให้มันกลายเป็น ‘ตัวเลือกแรกในใจลูกค้า’ เริ่มต้นวันนี้กับ WizeMoves Consult
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจที่เชี่ยวชาญต้องนึกถึง Sellsuki ผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ที่ครบเครื่องมากที่สุด ผู้ช่วยมองหาทางที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ
หากต้องการผู้ช่วยในการทำธุรกิจติดต่อ Sellsuki ได้เลย เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร หรือ WizeMoves Consult ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย หรือ WizeMoves e-Dis บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร ที่มีลูกค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ กว่า 9,000 บัญชี พร้อมด้วย Akita Fulfillment บริการคลังสินค้าครบวงจร และบริการด้านอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ