ในอดีตการรอคอยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจต้องใช้เวลานานหลายปี แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีล้ำสมัยผุดขึ้นมาแทบทุกวัน และกำลังปฏิวัติวิธีการทำงานและวิถีชีวิตของเราอย่างรวดเร็ว Disruptive Technology หรือ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก กำลังส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงแต่ภาคการแพทย์และค้าปลีกเท่านั้น แต่เทคโนโลยียังเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคการผลิต การเงิน และการเกษตร ตัวอย่างเช่น การใช้หุ่นยนต์ในโรงงาน การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัล และการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการพยากรณ์สภาพอากาศเพื่อช่วยเกษตรกรวางแผนการผลิต
สำหรับประเทศไทย การยอมรับและการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งทั้ง โอกาส และ ความท้าทาย ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยียังเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ และสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
วันนี้ Sellsuki จะพาคุณไปเจาะลึกเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกต่ออนาคตของธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Social Listening ภายใต้นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อให้คุณเข้าใจแนวทางในการรับมือและปรับตัว ตามหลักการของ Data Research Blueprint
เหมือนกับในทุก ๆ ครั้ง ขั้นตอนแรกต้องกำหนดหัวข้อที่ต้องการศึกษา หรือหัวข้อที่สนใจ ซึ่งอาจจะต้องเกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังทำอยู่ หากเป็นเรื่องที่กำลังเป็นเทรนด์ ก็จะสามารถกวาดข้อมูลได้เยอะ โดยบทความนี้ Sellsuki ต้องการศึกษาเรื่องของ Disruptive Technology ว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของธุรกิจในด้านไหนบ้าง และควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร
สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Gathering) หรือการทำ Data Research เราต้อง กำหนด Keyword ให้สอดคล้องกับหัวข้อที่ต้องการศึกษา ในครั้งนี้เราจะขอกำหนดคำว่า technology, เทคโนโลยีใหม่, อาชีพใหม่, digital transformation, new technology และ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่จะใช้กวาดข้อมูลบน Social Listening และกำหนดระยะเวลาการดึงข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ 10/04/2024 - 10/06/2024 หรือเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งเราได้รับข้อมูลทั้งหมด 59,487 Mentions บนช่องทาง Facebook, X (Twitter), Instagram, Youtube และ TikTok โดยข้อมูลที่ได้มาเป็นโพสต์สาธารณะ ภายใต้นโยบาย Policy ของแพลตฟอร์ม
เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและมีประโยชน์ ควรตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดอย่างรอบคอบ และคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ต้องการศึกษาเท่านั้น
จากกราฟจะเห็นได้ชัดว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้คนนิยมพูดคุยเกี่ยวกับ เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 51.2% ของการพูดถึงทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะ Facebook มีฐานผู้ใช้งานที่กว้างขวาง และมีเครื่องมือที่เอื้อต่อการแบ่งปันข้อมูลและความคิดเห็น
แม้ว่า Twitter จะมีสัดส่วนการพูดถึงน้อยกว่า Facebook แต่ก็ยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่สนใจเทคโนโลยีโดยตรง เนื่องจาก Twitter เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการอัปเดตข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์
เหตุผลที่ผู้คนพูดถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกบนโซเชียลมีเดีย
ประเด็นที่มักถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย
จากข้อมูลบนกราฟแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ หรือแคมเปญทางการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่แบรนด์ NARS เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NARS NEW BLUSH ทำให้เกิด จุดสูงสุด (Spike) ของการมีส่วนร่วมอย่างเห็นได้ชัด
การที่ผลิตภัณฑ์ของ NARS สร้างความสนใจได้มากขนาดนี้อาจเป็นเพราะปัจจัยหลายประการ เช่น การออกแบบแพ็กเกจที่ทันสมัย สูตรใหม่ที่พัฒนาขึ้น และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ รวมถึงการมีอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ฟรีน สโรชา และ เบคกี้ รีเบคก้า มาร่วมโปรโมทผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยขยายฐานผู้บริโภคและสร้างกระแสบนโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่แบรนด์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างสรรค์แคมเปญทางการตลาดที่น่าสนใจ
นอกจาก NARS BLUSH แล้ว ยังมีจุดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น 0G Labs ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐาน Web3 ได้เปิดตัวโครงการบล็อกเชนใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะการส่งผ่านข้อมูล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสนใจกับ Innovation และเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในอนาคต เราอาจจะได้เห็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการที่ะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Sellsuki ใช้ Hashtag Cloud ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นพบแฮชแท็กน่าสนใจ รวมไปถึงภาพรวมของข้อมูลและเทรนด์ที่สอดคล้องกับ Keyword ของเรา
จากข้อมูล Hashtag Cloud พบว่า เทคโนโลยี เป็นหัวข้อที่ผู้คนให้ความสนใจและพูดคุยกันมากที่สุดบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #technology, #ai และ #innovation สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของผู้คน ในการติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ และ Innovation ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการตระหนักถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
จากการค้นหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ พบว่าคนส่วนจะค้นหาความหมายของ Disruptive Technology และมีการค้นหาถึงผลกระทบด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า
เรายังสามารถใช้ Ubersuggest เพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ได้ ซึ่งในบทความนี้เราค้นหาคำว่า Disuptive Technology โดยพบกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
หลังจากรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นแล้ว เราต้องมีการแบ่งประเภทข้อมูล (Categories) จำนวน 59,487 Mentions ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถกำหนดหัวข้อหรือประเด็นเชิงลึก (Insights) ของหัวข้อที่เราต้องการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม คือ Blockchain ซึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุดถึง 20.2% ตามมาด้วย AI ที่ 19.8% และ Robotics ที่ 10.8% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกเหล่านี้
Blockchain กลายเป็นที่นิยมอย่างมากจากกระแสของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่ได้รับความสนใจทั่วโลก โดยเฉพาะเทคโนโลยี Blockchain ที่เป็นพื้นฐานในการสร้างและทำธุรกรรมกับสกุลเงินดิจิทัล ทำให้เกิดการนำ Blockchain ไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การแพทย์ หรือโลจิสติกส์
AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็น MarTech (Marketing Technology) ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ ChatGPT กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลภาษา และการสร้างสรรค์งานศิลปะ
Robotics หรือหุ่นยนต์ ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะหุ่นยนต์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการควบคุม ทำให้หุ่นยนต์มีความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิต การแพทย์ และการบริการ
นอกจากนี้ Biotechnology และ Machine Learning ก็เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะ Biotechnology ที่มีการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนายาใหม่ ๆ และการรักษาโรคต่าง ๆ ขณะที่ Machine Learning ถูกนำไปใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ระบบแนะนำสินค้า และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา และมีแนวโน้มที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไปในอนาคต การติดตามเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับ ทักษะแห่งอนาคต ที่จำเป็นต่อการทำงาน เราจะเห็นได้ว่า ทักษะการนำเสนอ (Presentation Skills) ครองสัดส่วนสูงสุดถึง 31.4% สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพในโลกที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว บุคลากรในทุกสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ หรือแม้แต่นักศึกษา ต่างต้องมีทักษะในการนำเสนอความคิดเห็นหรือผลงานของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจ
นอกจากทักษะการนำเสนอแล้ว มีทักษะอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving Skills) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและไม่คาดคิดในชีวิตประจำวัน และ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยให้เราสามารถคิดค้นไอเดียใหม่ ๆ และมองเห็นโอกาสทางธุรกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะทางเทคโนโลยี (Technology Skills) ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญมากในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะทักษะการเขียนโปรแกรม (Coding) และการใช้ Data Driven ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างสูงในหลายอุตสาหกรรม
ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills), ทักษะการปรับตัว (Adaptability) และ ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) ก็เป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะโลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การมีทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถปรับตัว และประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน
โลกการทำงานกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดเข้ามา Disrupt ทุกอย่าง ทำให้อาชีพบางอย่างค่อย ๆ เลือนหายไป แต่ก็สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับอาชีพอื่น ๆ จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดเจนว่า อาชีพกว่า 6.7% อาจจะล้าสมัยและหายไปในอนาคตอันใกล้ ขณะที่อีกกว่า 93.3% ของอาชีพยังคงมีความต้องการ แต่ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า Future Skills เพื่อก้าวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง แล้วอาชีพที่คุณทำอยู่จะเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่? มาหาคำตอบกัน
ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาชีพในอนาคต กำลังถูกกำหนดโดยเทคโนโลยี จากกราฟจะเห็นได้ชัดเจนว่า อาชีพในสายสุขภาพยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะ แพทย์ ที่มีสัดส่วนถึง 59.8% และ พยาบาล อีก 23.4% สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพที่ยังคงเป็นปัจจัยหลักในชีวิตของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม อาชีพเหล่านี้ก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวินิจฉัยโรค หรือการใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด
นอกจากอาชีพในสายสุขภาพแล้ว อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ก็มีความต้องการสูงเช่นกัน โดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ วิศวกรซอฟต์แวร์ ที่มีทักษะในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมต่างๆ อาชีพในสายการออกแบบ เช่น นักออกแบบ UX/UI ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้มากขึ้น
เพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคต เราควรพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต, การคิดเชิงวิพากษ์, การแก้ปัญหา, การสื่อสาร และ ทักษะทางดิจิทัล นอกจากนี้ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากโลกของเรากลายเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องกำลังเข้ามาแทนที่งาน Routine ทำให้หลายอาชีพต้องปรับตัวหรืออาจถึงขั้นหายไป จากภาพจะเห็นได้ชัดเจนว่า อาชีพพนักงานขาย มีแนวโน้มที่จะหายไปมากที่สุดถึง 45.3% เนื่องจากการเติบโตของ e-Commerce และการใช้เทคโลโลยีในการตลาด ทำให้การขายสินค้าและบริการสามารถทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
นอกจากอาชีพพนักงานขายแล้ว อาชีพที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ เช่น คนงานก่อสร้าง และ อาชีพที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง เช่น นักบัญชี ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ก่อสร้างสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่าคนงานก่อสร้าง และซอฟต์แวร์บัญชีสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่านักบัญชี
อาชีพในอนาคตมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น การปรับตัวและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกกำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมไทย การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น หุ่นยนต์, ปัญญาประดิษฐ์, และ Machine Learning กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจไทย ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการผลิตสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมาก ด้วยการนำหุ่นยนต์มาทำงานที่ซ้ำซากและอันตราย ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมบริการก็สามารถปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าได้ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เนื่องจากธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาทักษะของบุคลากร ทักษะที่สำคัญในยุคดิจิทัล ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์, การแก้ปัญหา, และทักษะด้านเทคโนโลยี เช่น การเขียนโปรแกรมและการวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาต้องร่วมมือกันในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต, สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา, และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
อนาคตของอุตสาหกรรมไทย ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่ไม่ปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เช่นเดียวกับบริษัทค้าปลีกหลายแห่งที่ต้องปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันกับ e-Commerce ได้ การนำเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์, Machine Learning, และระบบ Cloud Computing มาใช้ จะช่วยให้องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย องค์กรต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ, การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่สูง และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง และกำหนดกลยุทธ์ดิจิทัลที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร จากนั้นจึงลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม และพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความพร้อมในการทำงานในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ ภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยการจัดทำนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้มีความยืดหยุ่น เปิดรับ Innovation และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ องค์กรที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล
หากใครที่ต้องการเจาะลึกข้อมูลแบบ Insight สามารถดาวน์โหลด e-Book ฉบับเต็มของ Data Research ได้ที่ด้านล่างนี้ เพื่อเติมเต็มความรู้ และนำข้อมูลไปต่อยอดได้ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย
การมีผู้ช่วยที่มีความเชี่ยวชาญและมากประสบการณ์อย่าง Sellsuki เข้ามาบริหารจัดการดูแลธุรกิจของคุณอย่างใกล้ชิด ด้วยระยะเวลาการเดินทางกว่า 10 ปีที่เราได้ช่วยเหลือธุรกิจต่าง ๆ เติบโตมาแล้วกว่า 8,000 ราย
เราเข้าใจดีว่าคุณต้องการอะไร และเรามีโซลูชันที่ครบครัน ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน สนใจปรึกษาฟรีได้เลยครับ
และหากไม่อยากพลาดความรู้ดี ๆ เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจแบบนี้เป็นประจำ อย่าลืมกดติดตามน้องสุกิผ่านช่องทาง Facebook, Instagram, TikTok และ Youtube