ปัจจุบันนี้อยู่ในยุคที่ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้และการทำกิจกรรมผ่านหน้าจอเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถึงอย่างนั้น "เวิร์คช็อป" หรือ “Workshop” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้ผู้คนได้ออกจากบ้านเพื่อสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องหอม การปรุงอาหาร หรือการสร้างสรรค์งานศิลปะ ยังคงเป็นกิจกรรมที่ครองใจคนจำนวนไม่น้อย
ในปี 2025 เวิร์คช็อปยังคงน่าสนใจอยู่หรือไม่? เพราะอะไรผู้คนจึงยังหลงใหลในการลงมือทำจริงมากกว่าการเรียนรู้ผ่านจอ? Sellsuki ขออาสาพาคุณมาค้นหาคำตอบผ่าน เครื่องมือ Social Listening ให้เห็นเทรนด์และความคิดเห็นของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ว่ากระแสความสนใจในกิจกรรมเวิร์คช็อปยังมีอยู่หรือไม่
ในบทความ Data Research Insight ประจำเดือนมกราคมนี้ น้องสุกิจะพาคุณไปสำรวจเวิร์คช็อปจากข้อมูลเชิงลึก พร้อมเหตุผลที่ทำให้กิจกรรมประเภทนี้ยังคงครองใจผู้คนในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี
คราวนี้พร้อมหรือยังที่จะลงมือสร้างสิ่งใหม่ๆ และเติมพลังให้ชีวิตผ่านการเวิร์คช็อป
ในขั้นตอนแรกสุดของเรานั้น เราจะต้องมีตีโจทย์ให้แตกว่าเราอยากรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรที่คนพูดถึงกันในโซเชียลมีเดีย ในบทความนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นคำว่า “เวิร์คช็อป” และ “Workshop” นั่นเอง เราจะเอาคำเหล่านี้มาดูว่าเทรนด์เป็นยังไง
ในขั้นตอนที่สาม เราจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ (Data Analysis) แต่อย่าลืมตรวจสอบ และคัดกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword ออกก่อน เพื่อให้การวิเคราะห์ของเรานั้นมีความแม่นยำและชัดเจนมากที่สุด
จากรูป จะเห็นได้ว่าตัว Facebook มีการกล่าวถึงเป็นอันดับหนึ่งที่ราวๆ 60% หรือ 25,652 ครั้ง ในขณะที่ Instagram อยู่ที่อันดับสองที่ 19.3% (8,111 ครั้ง) และ X หรือ Twitter เป็นแพลตฟอร์มอันดับสามที่ 3,437 ครั้ง หรือ 8.2% นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีการพูดถึงพอสมควรเช่น TikTok และ YouTube เป็นต้น
โดยทาง Sellsuki วิเคราะห์เหตุผลในการเลือกใช้ช่องทางต่างๆ ของผู้บริโภค ดังนี้
1. Facebook ยังคงยืนหนึ่งในฐานะแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานหลากหลายที่สุด
2. Instagram เป็นพระรอง โดยมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านภาพและวิดีโอสั้น
3. X (Twitter) เน้นการอัปเดตข่าวสารรวดเร็ว
4. Forums และเว็บไซต์ข่าวต่างๆ นั้นเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลเชิงลึก
5. TikTok เน้นความบันเทิงและคอนเทนต์สั้นกระชับ
6. YouTube ใช้สำหรับเนื้อหาเชิงลึก แต่การค้นหายังใช้เวลานานกว่า
ซึ่งลำดับความนิยมของแต่ละแพลตฟอร์มสะท้อนให้เห็นถึง ลักษณะการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้จัดและผู้เข้าร่วม workshop โดย Facebook เป็นอันดับหนึ่ง เพราะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้กว้างที่สุดและมีฟีเจอร์รองรับหลากหลาย ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีบทบาทเฉพาะเจาะจงตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม
จากข้อมูล Social Data Stat Overview พบว่า แพลตฟอร์มที่มียอด Engagement สูงสุดในกรณีของการโปรโมตหรือสร้างกระแสเกี่ยวกับ workshop คือ TikTok โดยลักษณะของคอนเทนต์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดมักจะอยู่ในรูปแบบของ การรีวิว workshop ที่ผ่านมา หรือ วิดีโอเชิญชวนที่ดึงดูดความสนใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความอยากเข้าร่วมกิจกรรม workshop ดังกล่าว นอกจากนี้การใช้ฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น คลิปสั้นที่น่าสนใจและการตัดต่อที่สร้างสรรค์ ช่วยทำให้เนื้อหาบน TikTok เข้าถึงผู้ชมในวงกว้างได้รวดเร็วและสร้าง Engagement ได้สูงในเวลาอันสั้น
Sellsuki ใช้ Hashtag Cloud ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นพบแฮชแท็กน่าสนใจ รวมไปถึงภาพรวมของข้อมูลและเทรนด์ที่สอดคล้องกับ Keyword ของเรา
หากต้องการจะหา Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับ workshop เราก็ต้องไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากที่ Hashtag Cloud ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนที่จะลงลึกไปในส่วนของรายละเอียด วันนี้ Sellsuki จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจคร่าวๆ กันก่อนว่า แฮชแท็กสำคัญกับการตลาดออนไลน์อย่างไร โดยแฮชแท็กไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ธรรมดา แต่เป็น เครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตลาดออนไลน์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
จากข้อมูลที่ Hashtag Cloud พบบน โซเชียลมีเดีย จะเห็นได้ว่าเทรนด์เกี่ยวกับเวิร์คช็อป ใน 5 อันดับแรกนั้นค่อนข้างที่จะแปรผัน
โดยทาง Sellsuki จะพาทุกคนมาเจาะลึกกันอีกหน่อยเกี่ยวกับ แฮชแท็ก (Hashtag) ที่น่าสนใจแต่ละตัว แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจคร่าวๆ ก่อนว่าเจ้าตัว “แฮชแท็ก” มันสำคัญอย่างไรกับ การตลาดออนไลน์ โดยแฮชแท็กเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มทั้ง การเข้าถึง (Reach) การรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) การส่งเสริมแคมเปญ (Campaign Promotion) วิเคราะห์เทรนด์ (Trend Analysis) และเสริมการทำ การตลาดออนไลน์ ผ่าน SEO ต่อไปเราจะมาวิเคราะห์แต่ละแฮชแท็กที่เกี่ยวกับ เวิร์คช็อป 5 อันดับแรกกันเลย
1. #workshop (อันดับ 1)
2. #thailand (อันดับ 2)
3. #dek68 (อันดับ 3)
4. #dek69 (อันดับ 4)
5. #cafe (อันดับ 5)
นอกเหนือจาก Hashtag Cloud แล้ว ทาง Sellsuki ยังคงใช้เครื่องมือ Social Listening อย่าง Ubersuggest เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ว่า Workshop ได้ โดยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ได้แก่
หลังจากที่เรารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเสร็จแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการจัดกลุ่มข้อมูลเหล่านี้เป็นประเภท (Categories) เพื่อช่วยในการกำหนดหัวข้อหรือประเด็นเชิงลึก (Insights) ที่จะทำให้การศึกษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มาดูกันว่า ข้อมูลกว่า 42,000 Mentions สามารถแบ่งประเภทได้อย่างไรบ้าง
หากจะพูดถึงเรื่องเวิร์คช็อปแล้ว จะพบว่า 4 ประเด็นที่กลายมาเป็นประเด็นในการสนทนาบนโซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ “การตัดสินใจเลือกเวิร์คช็อป” สูงถึง 34.9% ส่วนอันดับที่ 2 คือ “ประเภทของเวิร์คช็อป” โดยมีการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดียอยู่ที่ 28.5% ในส่วนของอันดับที่ 3 นั้นถือว่าเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างจะแปลกและแตกต่างไปจากอันอื่น กล่าวคือเป็นประเด็นเรื่อง “ไปกับใคร” ซึ่งคิดเป็น 19.5% ของการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดีย ส่วนอันดับสุดท้ายที่ถูกกล่าวถึงคือ “Location” หรือสถานที่ในการจัดเวิร์คช็อปนั่นเอง ซึ่งคิดเป็นเพียง 17.1%
หลังจากที่ทีมงาน Sellsuki ได้ทำการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Social Listening พบว่า
จากข้อมูลนี้ หากใครที่อยากจะจัดเวิร์คช็อปก็สามารถนำข้อมูลการวิเคราะห์ของเราไปใช้ในการออกแบบหลักสูตรและวางกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น การเน้นสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ การออกแบบเวิร์คช็อปให้ตอบโจทย์สายอาชีพเฉพาะกลุ่ม หรือการปรับราคาให้เหมาะสมกับคุณค่าที่นำเสนอ
เมื่อพูดถึงเวิร์คช็อป เราสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามความสนใจของผู้เข้าร่วม ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
หัวข้อนี้อาจแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ แต่ก็ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปอย่างมาก เพราะการมีเพื่อนร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมช่วยให้การเรียนรู้สนุกขึ้น จากข้อมูลพบว่า
เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านสถานที่ พบว่าการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปและการกล่าวถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ ดังนี้
จากข้อมูลที่รวบรวมมา พบว่าการจัดและการพูดถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในภาคกลาง แต่กระจายไปยังหลายภูมิภาคทั่วประเทศ Sellsuki จึงได้จัดอันดับ 3 จังหวัดที่มีการกล่าวถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมและแนวโน้มของกิจกรรมในแต่ละพื้นที่
อันดับที่ 1: กรุงเทพมหานคร
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่มีการกล่าวถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด ด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความสะดวกในการเดินทาง การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจและกิจกรรมสร้างสรรค์ รวมถึงการเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนทำงานที่มองหากิจกรรมใหม่ๆ ในวันว่าง เวิร์คช็อปในกรุงเทพฯ มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ศิลปะ อาหาร ธุรกิจ ไปจนถึงกิจกรรมเสริมทักษะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง
อันดับที่ 2: เชียงใหม่
เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น และขึ้นชื่อเรื่องศิลปะและงานคราฟต์ ทำให้เวิร์คช็อปที่นี่มีความเฉพาะตัวและได้รับความสนใจจากหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เช่น การทำเครื่องเงิน การวาดลายไทย หรือการทำอาหารพื้นเมือง ตลอดจนคนไทยที่มองหาประสบการณ์เวิร์คช็อปในบรรยากาศที่เงียบสงบและสร้างแรงบันดาลใจ
อันดับที่ 3: ขอนแก่น
ขอนแก่นเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคอีสานที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแหล่งรวมกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ วัฒนธรรม และธุรกิจ ซึ่งเวิร์คช็อปในขอนแก่นมักมีความเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้าไหม หรือแม้แต่เวิร์คช็อปที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจชุมชน ซึ่งดึงดูดทั้งคนในพื้นที่และผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือ Social Listening พบว่าสถิติที่ได้รับค่อนข้างน่าสนใจและอาจขัดกับความคาดหมายของหลายคน เพราะการพูดถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียกลับพบในกลุ่มเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและสะท้อนถึงแนวโน้มพฤติกรรมของผู้ที่ให้ความสนใจกับกิจกรรมประเภทนี้
เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มที่พูดถึงเวิร์คช็อปมากที่สุดคือ เพศชายในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งอาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้เพิ่มเติม และการต่อยอดโอกาสทางอาชีพ เวิร์คช็อปที่เกี่ยวกับธุรกิจ ทักษะเฉพาะทาง และการสร้างเครือข่าย (Networking) มักได้รับความสนใจจากคนในวัยนี้ อีกทั้งยังมีกำลังซื้อสูง ทำให้มีแนวโน้มเข้าร่วมเวิร์คช็อปเพื่อพัฒนาตัวเองมากขึ้น
อันดับที่ 2 คือกลุ่มเพศชายอายุระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งอาจเป็นเพราะวัยนี้เป็นช่วงที่กำลังค้นหาตัวตน ทดลองสิ่งใหม่ๆ และเปิดรับประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยจะเป็นเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับงานคราฟต์ เทคโนโลยี หรือแม้แต่กิจกรรมที่ช่วยสร้างทักษะด้านดิจิทัล เช่น การตัดต่อวิดีโอ การทำคอนเทนต์ มักจะได้รับความนิยมในกลุ่มนี้ นอกจากนี้การเข้าร่วมเวิร์คช็อปยังเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจคล้ายกัน
อันดับที่ 3 คือประชากรเพศหญิงในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า เวิร์คช็อปที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับศิลปะ งานฝีมือ และไลฟ์สไตล์ เช่น การทำเครื่องประดับ การแต่งหน้าศิลปะ หรือเวิร์คช็อปเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งเวิร์คช็อปยังเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถพัฒนาทักษะเสริมที่อาจต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต
เมื่อพูดถึงเวิร์คช็อป หลายคนอาจนึกถึงกิจกรรมยอดนิยมอย่างการทำอาหาร ศิลปะ งานเย็บปักถักร้อย หรือการทำงานคราฟต์ต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวิร์คช็อปไม่ได้จำกัดอยู่แค่กิจกรรมเหล่านี้ ยังมีเวิร์คช็อปที่เฉพาะทางมากขึ้น ครอบคลุมทักษะที่หลากหลาย ตั้งแต่เทคโนโลยี ธุรกิจ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มคนที่สนใจพัฒนาตัวเองในด้านที่แตกต่างออกไป
ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้คนไม่ได้มองหาแค่กิจกรรมที่ทำคนเดียว แต่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรักได้ เวิร์คช็อปจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ร่วมกัน นอกจากจะได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่าแล้ว ยังเป็นโอกาสดีในการกระชับความสัมพันธ์ผ่านการเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ
อีกจุดที่น่าสนใจคือ เวิร์คช็อปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวและเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้สอนและผู้จัดงานเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมเวิร์คช็อปที่ให้ประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การทำเครื่องเงินที่เชียงใหม่ การย้อมผ้าครามที่สกลนคร หรือการทำขนมพื้นเมืองที่ภูเก็ต สิ่งเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ในรูปแบบที่จับต้องได้จริง
นอกจากนี้ การเข้าร่วมเวิร์คช็อปยังเป็นโอกาสในการพบเจอผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนไอเดีย การต่อยอดความรู้ หรือแม้แต่การร่วมมือกันในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสายอาชีพเดียวกันหรือคนละสายอาชีพกันก็ตาม เวิร์คช็อปจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน รวมถึงถือเปิดโอกาสให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ให้กับทุกๆคนอีกด้วย
5 ทริคเด็ดยกระดับเวิร์คช็อปด้วย Branding
ในยุคที่เวิร์คช็อปกลายเป็นมากกว่ากิจกรรมสันทนาการ แต่เป็นทั้งประสบการณ์และโอกาสทางธุรกิจ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เวิร์คช็อปของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และดึงดูดลูกค้าให้กลับมาอีก วันนี้เรามี 5 ทริคเด็ด ที่จะช่วยให้เวิร์คช็อปของคุณมีเอกลักษณ์ และน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
1. สร้าง Story ให้เวิร์คช็อปของคุณ
แบรนด์ที่ดีไม่ใช่แค่เพียงการมีโลโก้หรือชื่อที่จำง่าย แต่ต้องมี เรื่องราว (Storytelling) ที่น่าสนใจด้วย ให้ลองถามตัวเองว่า “เวิร์คช็อปของคุณเกิดขึ้นเพื่ออะไร?” “คุณอยากให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกแบบไหน?” ตัวอย่างเช่น หากคุณจัดเวิร์คช็อปทำเครื่องหอมจากสมุนไพรไทย อาจเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และความตั้งใจในการสืบทอดวัฒนธรรมไทยผ่านกลิ่นหอม วิธีนี้จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
2. สร้างประสบการณ์ให้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก (Customer Experience)
คนที่มาเข้าร่วมเวิร์คช็อปไม่ได้ต้องการแค่ "ความรู้" แต่ต้องการ "ประสบการณ์ที่พิเศษ" ดังนั้น ให้ลองออกแบบบรรยากาศที่แตกต่างจากคนอื่นดู เช่น
3. ใช้ Influencer และ UGC (User-Generated Content) ให้เป็นประโยชน์
ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง คอนเทนต์จากลูกค้า (UGC) หรือการรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เวิร์คช็อปของคุณ ลองให้ส่วนลดพิเศษสำหรับคนที่โพสต์รูปหรือรีวิวประสบการณ์จากเวิร์คช็อป พร้อมติดแฮชแท็กของแบรนด์ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการรับรู้และกระตุ้นให้คนอื่นสนใจมากขึ้น
4. ออกแบบ Branding ให้ชัดเจนในทุก Touchpoint
แบรนด์ที่แข็งแกร่งต้องมี ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเวิร์คช็อป สี โลโก้ ฟอนต์ ไปจนถึงสไตล์ของโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เช่น หากคุณจะจัดเวิร์คช็อปสไตล์มินิมอล โทนสีของแบรนด์ ก็ควรเป็นสีเอิร์ธโทน ภาพที่ใช้ควรดูอบอุ่น และข้อความควรเป็นแนวให้แรงบันดาลใจ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น
5. สร้าง Community และความสัมพันธ์ระยะยาว
จงอย่ามองว่าเวิร์คช็อปเป็นแค่กิจกรรมครั้งเดียว ลองสร้าง Community ที่ช่วยให้ลูกค้าอยากกลับมาอีก เช่น
กลยุทธ์ Marcom สำหรับธุรกิจเวิร์คช็อป: ใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้ใช้
การทำธุรกิจเวิร์คช็อปจำเป็นต้องมี Marketing Communication (Marcom) ที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าควรใช้แพลตฟอร์มไหน และกลยุทธ์อะไรที่เหมาะกับธุรกิจเวิร์คช็อปของคุณ
1. Facebook: ศูนย์กลางการโปรโมตและสร้าง Community
2. Instagram: ดึงดูดสายอาร์ตและคนรุ่นใหม่ด้วยภาพสวยๆ
3. X (Twitter): โปรโมตกิจกรรมแบบ Real-Time
สรุป
ธุรกิจเวิร์คช็อปที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่การสอนที่ดี แต่ต้องมี เรื่องราวที่น่าสนใจ การออกแบบประสบการณ์ที่แตกต่าง พร้อมทั้งการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด การสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ และการสร้าง Community ที่แข็งแกร่ง หากคุณสามารถทำ 5 สิ่งเหล่านี้ได้ เวิร์คช็อปของคุณจะไม่ใช่แค่กิจกรรมทั่วไป แต่จะกลายเป็น แบรนด์ที่ผู้คนอยากติดตามและเข้าร่วมซ้ำ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกยังไม่พร้อมในการจัดเวิร์คช็อป ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรืออาจจะยังไม่ชำนาญในบางแพลตฟอร์ม แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Sellsuki อยากพาธุรกิจของคุณโตไปกับเรานะ เรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร (WizeMoves Consult) ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย (WizeMoves e-Dis) บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร (LINE Agency) และอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ
สำหรับคนที่อยากได้ Data Research Insight เวอร์ชันเต็มของเดือนมกราคมนี้ สามารถดาวน์โหลดฟรี เพียงลงทะเบียนด้านล่างได้เลย!
และเพื่อไม่ให้พลาดความรู้และสาระสำคัญแบบนี้ก่อนใคร อย่าลืมกดติดตามน้องสุกิบนช่องทาง Facebook, Youtube, Instagram และ TikTok
สำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ และที่ปรึกษาธุรกิจมืออาชีพ ที่พร้อมพาธุรกิจของคุณเติบโตไปอีกขั้น Sellsuki เป็นมากกว่าเพื่อนคู่คิดที่คุณกำลังมองหา
เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ โดยสามารถตอบโจทย์ตรงจุดทุกความต้องการ เราพร้อมแล้วที่จะพาธุรกิจของคุณเติบโตไปกับเรานะ