Header-sellsuki.webp
S E L L S U K I
mdi_eye : 92 ph_share-bold : 0 charm_sound-down
อ่าน

เวิร์คช็อป Workshop คืออะไร กิจกรรมไหนที่คนสนใจในปี 2025

Worlshop1.png

ปัจจุบันนี้อยู่ในยุคที่ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้และการทำกิจกรรมผ่านหน้าจอเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถึงอย่างนั้น "เวิร์คช็อป" หรือ “Workshop” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้ผู้คนได้ออกจากบ้านเพื่อสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องหอม การปรุงอาหาร หรือการสร้างสรรค์งานศิลปะ ยังคงเป็นกิจกรรมที่ครองใจคนจำนวนไม่น้อย

ในปี 2025 เวิร์คช็อปยังคงน่าสนใจอยู่หรือไม่? เพราะอะไรผู้คนจึงยังหลงใหลในการลงมือทำจริงมากกว่าการเรียนรู้ผ่านจอ? Sellsuki ขออาสาพาคุณมาค้นหาคำตอบผ่าน เครื่องมือ Social Listening ให้เห็นเทรนด์และความคิดเห็นของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ว่ากระแสความสนใจในกิจกรรมเวิร์คช็อปยังมีอยู่หรือไม่

ในบทความ Data Research Insight ประจำเดือนมกราคมนี้ น้องสุกิจะพาคุณไปสำรวจเวิร์คช็อปจากข้อมูลเชิงลึก พร้อมเหตุผลที่ทำให้กิจกรรมประเภทนี้ยังคงครองใจผู้คนในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี

คราวนี้พร้อมหรือยังที่จะลงมือสร้างสิ่งใหม่ๆ และเติมพลังให้ชีวิตผ่านการเวิร์คช็อป

5 ขั้นตอนการทำ Data Blueprint ด้วยเครื่องมือ Social Listening

Screenshot 2568-01-31 at 15.54.31.png

Step 1 - Crack โจทย์ไหนที่อยากรู้ 

ในขั้นตอนแรกสุดของเรานั้น เราจะต้องมีตีโจทย์ให้แตกว่าเราอยากรู้หรือศึกษาเรื่องอะไรที่คนพูดถึงกันในโซเชียลมีเดีย ในบทความนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นคำว่า “เวิร์คช็อป” และ “Workshop” นั่นเอง เราจะเอาคำเหล่านี้มาดูว่าเทรนด์เป็นยังไง

Step 2 - Set Keyword & Data Gathering

Worlshop3.png

Step 3 - Data Analyst & Visualize

ในขั้นตอนที่สาม เราจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ (Data Analysis) แต่อย่าลืมตรวจสอบ และคัดกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Keyword ออกก่อน เพื่อให้การวิเคราะห์ของเรานั้นมีความแม่นยำและชัดเจนมากที่สุด

Worlshop4.png

จากรูป จะเห็นได้ว่าตัว Facebook มีการกล่าวถึงเป็นอันดับหนึ่งที่ราวๆ 60% หรือ 25,652 ครั้ง ในขณะที่ Instagram อยู่ที่อันดับสองที่ 19.3% (8,111 ครั้ง) และ X หรือ Twitter เป็นแพลตฟอร์มอันดับสามที่ 3,437 ครั้ง หรือ 8.2% นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มีการพูดถึงพอสมควรเช่น TikTok และ YouTube เป็นต้น

โดยทาง Sellsuki วิเคราะห์เหตุผลในการเลือกใช้ช่องทางต่างๆ ของผู้บริโภค ดังนี้

1. Facebook ยังคงยืนหนึ่งในฐานะแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานหลากหลายที่สุด

  • Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้งานกว้างที่สุดในไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME, นักศึกษา, และกลุ่มคนที่สนใจเรียนรู้พัฒนาทักษะใหม่ๆ
  • มีฟีเจอร์ที่ส่งเสริมการจัดและโปรโมต workshop เช่น Event, Group, Live Streaming, และ Marketplace ทำให้สะดวกในการโปรโมตและแชร์ข้อมูล
  • ความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยการสร้าง Community ในรูปแบบกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับ workshop

2. Instagram เป็นพระรอง โดยมุ่งเน้นการสื่อสารผ่านภาพและวิดีโอสั้น

  • เน้นการใช้ลงคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับ workshop มักถูกโปรโมตในรูปแบบโพสต์ภาพสวยงาม เช่น Poster, Infographic, หรือ Short Video ซึ่งดึงดูดผู้ใช้ Instagram ที่มักเป็นคนรุ่นใหม่
  • การใช้ฟีเจอร์ Story และ Reels ทำให้คอนเทนต์เกี่ยวกับ workshop ถูกกระจายไปยังผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว

3. X (Twitter) เน้นการอัปเดตข่าวสารรวดเร็ว

  • Twitter เป็นพื้นที่สำหรับการแชร์ข่าวสารหรืออัปเดตเกี่ยวกับกิจกรรมแบบทันทีทันใด ทำให้เหมาะสำหรับการโปรโมตหรือแจ้งเตือนกิจกรรม workshop ที่กำลังจะมาถึง
  • เหมาะกับการใช้ Hashtag เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทาง

4. Forums และเว็บไซต์ข่าวต่างๆ นั้นเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลเชิงลึก

  • Forums และเว็บไซต์ข่าวมักถูกใช้เป็นพื้นที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อของ workshop หรือการรีวิว workshop ที่ผ่านมา ทำให้เหมาะกับคนที่ต้องการรายละเอียด
  • ความน่าเชื่อถือจากการแชร์ผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย

5. TikTok เน้นความบันเทิงและคอนเทนต์สั้นกระชับ

  • TikTok มีแนวโน้มที่จะพูดถึง workshop ในรูปแบบของ คลิปสั้นที่มีความสร้างสรรค์ เช่น การแนะนำหัวข้อ workshop หรือการสอนแบบ mini-workshop
  • แม้ว่าความนิยมจะสูง แต่ผู้ใช้งาน TikTok ส่วนใหญ่มักไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของ workshop ที่ต้องการเนื้อหาละเอียดและการสื่อสารต่อเนื่อง

6. YouTube ใช้สำหรับเนื้อหาเชิงลึก แต่การค้นหายังใช้เวลานานกว่า

  • YouTube เหมาะสำหรับการแชร์เนื้อหา workshop ที่เป็นวิดีโอแบบเต็มรูปแบบ เช่น การบันทึกกิจกรรมต่างๆ หรือ How-to Guide
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ชม YouTube มักค้นหาเนื้อหาตามความสนใจเฉพาะเจาะจง ทำให้การพูดถึง workshop บนแพลตฟอร์มนี้มีปริมาณน้อยกว่าช่องทางอื่นๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน (อ้างอิงจากการใช้ social listening)

ซึ่งลำดับความนิยมของแต่ละแพลตฟอร์มสะท้อนให้เห็นถึง ลักษณะการใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้จัดและผู้เข้าร่วม workshop โดย Facebook เป็นอันดับหนึ่ง เพราะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้กว้างที่สุดและมีฟีเจอร์รองรับหลากหลาย ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีบทบาทเฉพาะเจาะจงตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละกลุ่ม

Social Data Stat Overview

Worlshop8.png

จากข้อมูล Social Data Stat Overview พบว่า แพลตฟอร์มที่มียอด Engagement สูงสุดในกรณีของการโปรโมตหรือสร้างกระแสเกี่ยวกับ workshop คือ TikTok โดยลักษณะของคอนเทนต์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดมักจะอยู่ในรูปแบบของ การรีวิว workshop ที่ผ่านมา หรือ วิดีโอเชิญชวนที่ดึงดูดความสนใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความอยากเข้าร่วมกิจกรรม workshop ดังกล่าว นอกจากนี้การใช้ฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น คลิปสั้นที่น่าสนใจและการตัดต่อที่สร้างสรรค์ ช่วยทำให้เนื้อหาบน TikTok เข้าถึงผู้ชมในวงกว้างได้รวดเร็วและสร้าง Engagement ได้สูงในเวลาอันสั้น

Social Data Stat by Hashtag Cloud

Sellsuki ใช้ Hashtag Cloud ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นพบแฮชแท็กน่าสนใจ รวมไปถึงภาพรวมของข้อมูลและเทรนด์ที่สอดคล้องกับ Keyword ของเรา

Worlshop10.png

หากต้องการจะหา Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับ workshop เราก็ต้องไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจากที่ Hashtag Cloud ด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ก่อนที่จะลงลึกไปในส่วนของรายละเอียด วันนี้ Sellsuki จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจคร่าวๆ กันก่อนว่า แฮชแท็กสำคัญกับการตลาดออนไลน์อย่างไร โดยแฮชแท็กไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ธรรมดา แต่เป็น เครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตลาดออนไลน์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • เพิ่มการเข้าถึง (Reach): ช่วยให้โพสต์ของคุณไปไกลกว่าเดิม
  • สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness): ให้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
  • ส่งเสริมแคมเปญ (Campaign Promotion): กระตุ้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ
  • วิเคราะห์เทรนด์ (Trend Analysis): เกาะติดกระแสที่ผู้บริโภคสนใจ
  • เสริม SEO : เพิ่มโอกาสให้แบรนด์ถูกค้นพบในโลกออนไลน์

จากข้อมูลที่ Hashtag Cloud พบบน โซเชียลมีเดีย จะเห็นได้ว่าเทรนด์เกี่ยวกับเวิร์คช็อป ใน 5 อันดับแรกนั้นค่อนข้างที่จะแปรผัน


โดยทาง Sellsuki จะพาทุกคนมาเจาะลึกกันอีกหน่อยเกี่ยวกับ แฮชแท็ก (Hashtag) ที่น่าสนใจแต่ละตัว แต่ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจคร่าวๆ ก่อนว่าเจ้าตัว “แฮชแท็ก” มันสำคัญอย่างไรกับ การตลาดออนไลน์ โดยแฮชแท็กเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มทั้ง การเข้าถึง (Reach) การรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) การส่งเสริมแคมเปญ (Campaign Promotion) วิเคราะห์เทรนด์ (Trend Analysis) และเสริมการทำ การตลาดออนไลน์ ผ่าน SEO ต่อไปเราจะมาวิเคราะห์แต่ละแฮชแท็กที่เกี่ยวกับ เวิร์คช็อป 5 อันดับแรกกันเลย

1. #workshop (อันดับ 1)

  • แฮชแท็กนี้เป็นคำที่ตรงตัวและมีความหมายชัดเจนที่สุดเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปทำให้คนที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเวิร์คช็อปมักเริ่มต้นจากการใช้คำนี้เป็นคีย์เวิร์ดหลัก
  • ผู้จัดกิจกรรมเวิร์คช็อปมักใช้แฮชแท็กนี้เพื่อเพิ่มการมองเห็น และยังเป็นแฮชแท็กสากลที่ใช้ได้ในทุกประเภทของกิจกรรม เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ, งานศิลปะ, หรือการอบรมเชิงวิชาการ

2. #thailand (อันดับ 2)

  • แฮชแท็กนี้สะท้อนถึงความสนใจในกิจกรรมเวิร์คช็อปที่จัดในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการค้นหากิจกรรมในพื้นที่เฉพาะ
  • เป็นแฮชแท็กที่ใช้ได้กับหลายประเภทของโพสต์ เช่น การจัดงานเวิร์คช็อปทั่วไป, การท่องเที่ยวเชิงเวิร์คช็อป, หรือกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม
  • เหมาะกับกลุ่มผู้ชมทั้งในประเทศและชาวต่างชาติที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในไทย

3. #dek68 (อันดับ 3)

  • แฮชแท็กนี้เกี่ยวข้องกับนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2568 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเวิร์คช็อปที่เน้นการติวข้อสอบ, เสริมความรู้ หรือพัฒนาทักษะด้านวิชาการ
  • เวิร์คช็อปการศึกษา เช่น ติวสอบ GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ, และการเลือกคณะ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักเรียน Dek68

4. #dek69 (อันดับ 4)

  • คล้ายกับ #dek68 แต่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นนักเรียนรุ่นถัดไปที่เริ่มเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับการสอบในปี 2569
  • เวิร์คช็อป สำหรับ Dek69 มักจะเกี่ยวกับการปูพื้นฐานหรือการแนะนำแนวทางการเรียนเพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคต ซึ่งช่วยให้โพสต์ที่เกี่ยวข้องได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและนักเรียนกลุ่มนี้

5. #cafe (อันดับ 5)

  • เวิร์คช็อปหลายกิจกรรมในปัจจุบันมักจัดใน คาเฟ่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสำหรับการจัดงานที่ต้องการบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง เช่น เวิร์คช็อปเกี่ยวกับศิลปะ, การเขียน, การทำเครื่องดื่ม, หรือการเรียนรู้ทักษะเล็กๆ
  • การใช้แฮชแท็กนี้ช่วยดึงดูดกลุ่มคนที่ชอบไปคาเฟ่และกำลังมองหากิจกรรมที่สามารถทำได้ในสถานที่ที่ชื่นชอบ

Worlshop12.png

นอกเหนือจาก Hashtag Cloud แล้ว ทาง Sellsuki ยังคงใช้เครื่องมือ Social Listening อย่าง Ubersuggest เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ว่า Workshop ได้ โดยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ได้แก่

  • การใช้คำว่า Workshop
  • Workshop เครื่องปั้นดินเผา
  • Workshop restaurant

Categories Overall

Worlshop13.png
หลังจากที่เรารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเสร็จแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการจัดกลุ่มข้อมูลเหล่านี้เป็นประเภท (Categories) เพื่อช่วยในการกำหนดหัวข้อหรือประเด็นเชิงลึก (Insights) ที่จะทำให้การศึกษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มาดูกันว่า ข้อมูลกว่า 42,000 Mentions สามารถแบ่งประเภทได้อย่างไรบ้าง 

หากจะพูดถึงเรื่องเวิร์คช็อปแล้ว จะพบว่า 4 ประเด็นที่กลายมาเป็นประเด็นในการสนทนาบนโซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ “การตัดสินใจเลือกเวิร์คช็อป” สูงถึง 34.9% ส่วนอันดับที่ 2 คือ “ประเภทของเวิร์คช็อป” โดยมีการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดียอยู่ที่ 28.5% ในส่วนของอันดับที่ 3 นั้นถือว่าเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างจะแปลกและแตกต่างไปจากอันอื่น กล่าวคือเป็นประเด็นเรื่อง “ไปกับใคร” ซึ่งคิดเป็น 19.5% ของการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดีย ส่วนอันดับสุดท้ายที่ถูกกล่าวถึงคือ “Location” หรือสถานที่ในการจัดเวิร์คช็อปนั่นเอง ซึ่งคิดเป็นเพียง 17.1% 

การตัดสินใจเลือกเวิร์คช็อป

Worlshop14.png

หลังจากที่ทีมงาน Sellsuki ได้ทำการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลผ่าน Social Listening พบว่า 

  • ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าร่วมเวิร์คช็อปของผู้คนมากที่สุด คือ “ประสบการณ์ที่คาดว่าจะได้รับ” คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 47.2% ของการกล่าวถึงทั้งหมด นั่นเป็นเพราะผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ต้องการความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เทคนิคเฉพาะทาง การสร้างคอนเนคชัน หรือโอกาสในการพัฒนาตัวเองในสาขาที่สนใจ
  • ปัจจัยรองลงมา คือ “อาชีพ” คิดเป็น 23.1% ของการกล่าวถึงทั้งหมด เนื่องจากผู้คนมักเลือกเวิร์คช็อปที่สอดคล้องกับอาชีพของตน หรือช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงาน เช่น ฟรีแลนซ์มักมองหาเวิร์คช็อปที่ช่วยเพิ่มทักษะเฉพาะด้าน ในขณะที่เจ้าของธุรกิจอาจเลือกเวิร์คช็อปที่ช่วยเสริมกลยุทธ์การตลาดและการบริหาร
  • ปัจจัยอันดับที่ 3 คือ “ราคา” คิดเป็น 15% ของการกล่าวถึง ราคามีผลต่อการตัดสินใจโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคุณค่าที่จะได้รับ ผู้เข้าร่วมบางคนอาจเต็มใจจ่ายแพงขึ้นหากเวิร์คช็อปมีคุณภาพสูงและสามารถให้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าได้ แต่ในบางกลุ่ม ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก
  • ปัจจัยอันดับสุดท้าย คือ “สถานที่” ซึ่งมีการกล่าวถึงเพียง 14.1% แม้ว่าทำเลที่ตั้งจะมีผลต่อความสะดวกในการเดินทาง แต่ในยุคปัจจุบันที่เวิร์คช็อปออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ปัจจัยด้านสถานที่จึงมีความสำคัญน้อยลงเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่นๆ

จากข้อมูลนี้ หากใครที่อยากจะจัดเวิร์คช็อปก็สามารถนำข้อมูลการวิเคราะห์ของเราไปใช้ในการออกแบบหลักสูตรและวางกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น การเน้นสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ การออกแบบเวิร์คช็อปให้ตอบโจทย์สายอาชีพเฉพาะกลุ่ม หรือการปรับราคาให้เหมาะสมกับคุณค่าที่นำเสนอ

ประเภทของเวิร์คช็อป

Worlshop16.png

เมื่อพูดถึงเวิร์คช็อป เราสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามความสนใจของผู้เข้าร่วม ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป

  • เวิร์คช็อปเกี่ยวกับศิลปะ: ฮิตสุดถึง 54.1% เพราะเวิร์คช็อปศิลปะเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และอารมณ์ผ่านงานศิลป์ ไม่ว่าจะเป็น การวาดภาพ สีน้ำ งานปั้น หรือการจัดดอกไม้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยผ่อนคลายความเครียด แต่ยังเป็นพื้นที่ให้ค้นพบความสามารถใหม่ๆ ของตัวเอง หลายคนอาจค้นพบงานอดิเรกที่ทำแล้วมีความสุข หรือแม้แต่ต่อยอดเป็นอาชีพเสริม นอกจากนี้ เวิร์คช็อปศิลปะมักถูกออกแบบให้เหมาะกับทุกระดับ โดยมีตั้งแต่ระดับมือโปร ไปจนถึงมือใหม่ที่อยากลองสร้างสรรค์ผลงานชิ้นแรกของตัวเอง
  • เวิร์คช็อปอาหารและเครื่องดื่ม: มีความนิยมรองลงมาอยู่ที่ 27.3% เพราะเวิร์คช็อปประเภทนี้เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ คอร์สเรียนทำอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่ม ซึ่งมักถูกเลือกจากผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะด้านการทำอาหารเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือต่อยอดเป็นธุรกิจส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของเวิร์คช็อปประเภทนี้คือ ผู้เข้าร่วมมักมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้น การแบ่งระดับเวิร์คช็อปให้เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น ระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และระดับสูง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ตรงใจที่สุด นอกจากนี้ เวิร์คช็อปประเภทนี้ยังมีส่วนช่วยในการลดความกังวล และเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
  • เวิร์คช็อปงานคราฟต์: ได้รับความนิยมเพียง 18.7% โดยแม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่าอีกสองประเภท แต่เวิร์คช็อปงานคราฟต์ยังคงเป็นที่สนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการผ่อนคลายและสร้างของใช้หรือของขวัญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การทำเทียนหอม การเย็บปักถักร้อย หรือการทำเครื่องประดับแฮนด์เมด ซึ่งเวิร์คช็อปประเภทนี้เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ที่ต้องการสร้างผลงานที่จับต้องได้ แม้จะไม่ใช่งานศิลปะที่ต้องใช้ทักษะเชิงลึก แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ให้ความภูมิใจในผลงานที่ทำขึ้นเอง อีกทั้งยังเป็นไอเดียที่ดีสำหรับการทำกิจกรรมคู่รัก หรือสร้างของขวัญพิเศษที่มีชิ้นเดียวในโลก

ไปทำเวิร์คช็อปกับใคร

Worlshop20.png

หัวข้อนี้อาจแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ แต่ก็ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปอย่างมาก เพราะการมีเพื่อนร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมช่วยให้การเรียนรู้สนุกขึ้น จากข้อมูลพบว่า

  • 60% ของผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อปนิยมไปกับเพื่อน: ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด เหตุผลหลักอาจเป็นเพราะเพื่อนช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สนุกสนาน และลดความกังวลในการลองสิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียและให้กำลังใจกันระหว่างทำกิจกรรม
  • 24.2% ของผู้เข้าร่วมเลือกไปเวิร์คช็อปกับแฟน: การทำกิจกรรมร่วมกันเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความทรงจำและกระชับความสัมพันธ์ เวิร์คช็อปประเภทที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนี้มักเป็นเวิร์คช็อปทำอาหาร งานคราฟต์ หรือกิจกรรมที่สามารถสร้างผลงานไว้เป็นที่ระลึก
  • 13.4% ของผู้เข้าร่วมไปเวิร์คช็อปกับครอบครัว: แม้จะเป็นกลุ่มที่เล็กกว่า แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าหลายครอบครัวมองหาเวิร์คช็อปเป็นกิจกรรมสำหรับใช้เวลาร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทุกวัยสามารถมีส่วนร่วมได้ เช่น เวิร์คช็อปศิลปะ ทำขนม หรือการจัดดอกไม้
  • มีเพียง 2.4% ของผู้เข้าร่วมที่เลือกไปเวิร์คช็อปคนเดียว: ซึ่งเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด อาจเป็นเพราะเวิร์คช็อปมักถูกมองว่าเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับการทำร่วมกับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เลือกไปคนเดียวอาจต้องการใช้เวลาส่วนตัวในการพัฒนาทักษะหรือค้นหาแรงบันดาลใจโดยไม่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากคนรอบข้าง

Location

Worlshop22.png

เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านสถานที่ พบว่าการจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปและการกล่าวถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค โดยข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ภาคเหนือมีการจัดและกล่าวถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด คิดเป็น 30.9% อาจเป็นเพราะภาคเหนือมีเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น เชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของงานศิลปะ งานคราฟต์ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เวิร์คช็อปในพื้นที่นี้มักเน้นไปที่ศิลปะพื้นบ้าน หัตถกรรม งานปั้น งานแกะสลัก และกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับบรรยากาศธรรมชาติ ทำให้ดึงดูดทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ
  • ภาคกลางมีสัดส่วนอยู่ที่ 27.6% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงรองลงมา ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและมีเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เวิร์คช็อปในภาคกลางจึงครอบคลุมทั้งด้านศิลปะ ธุรกิจ อาหาร และกิจกรรมไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์คนเมืองที่มองหากิจกรรมเสริมทักษะและสร้างเครือข่ายทางสังคม
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มีสัดส่วนอยู่ที่ 12.5% แม้จะน้อยกว่าภาคเหนือและภาคกลาง แต่ก็ยังพบว่ามีการจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น งานหัตถกรรมพื้นบ้าน และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังมีเวิร์คช็อปที่เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP และการสร้างแบรนด์สินค้าในชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรายย่อย
  • ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกมีสัดส่วนเท่ากันที่ 10.2% โดยภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจเกิดขึ้นมาก เวิร์คช็อปที่ได้รับความนิยมมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจ การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และไลฟ์สไตล์ ส่วนภาคตะวันตกซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น กาญจนบุรี และราชบุรี มีเวิร์คช็อปที่เน้นไปทางงานศิลปะ งานคราฟต์ และกิจกรรมเชิงเกษตร เช่น การทำเซรามิกหรือการทำเกษตรอินทรีย์
  • ภาคใต้มีการกล่าวถึงเวิร์คช็อปน้อยที่สุดที่ 8.6% ซึ่งอาจเป็นเพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เน้นไปที่การท่องเที่ยวทางทะเลและอุตสาหกรรมการประมงมากกว่ากิจกรรมเชิงศิลปะและคราฟต์ อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และสงขลา ก็เริ่มมีการจัดเวิร์คช็อปเกี่ยวกับอาหารทะเล ศิลปะพื้นเมือง และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น

TOP 3 จังหวัดที่มีการพูดถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด

จากข้อมูลที่รวบรวมมา พบว่าการจัดและการพูดถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในภาคกลาง แต่กระจายไปยังหลายภูมิภาคทั่วประเทศ Sellsuki จึงได้จัดอันดับ 3 จังหวัดที่มีการกล่าวถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมและแนวโน้มของกิจกรรมในแต่ละพื้นที่


อันดับที่ 1: กรุงเทพมหานคร
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่มีการกล่าวถึงเวิร์คช็อปมากที่สุด ด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความสะดวกในการเดินทาง การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจและกิจกรรมสร้างสรรค์ รวมถึงการเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนทำงานที่มองหากิจกรรมใหม่ๆ ในวันว่าง เวิร์คช็อปในกรุงเทพฯ มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ศิลปะ อาหาร ธุรกิจ ไปจนถึงกิจกรรมเสริมทักษะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง

อันดับที่ 2: เชียงใหม่
เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น และขึ้นชื่อเรื่องศิลปะและงานคราฟต์ ทำให้เวิร์คช็อปที่นี่มีความเฉพาะตัวและได้รับความสนใจจากหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมไทย เช่น การทำเครื่องเงิน การวาดลายไทย หรือการทำอาหารพื้นเมือง ตลอดจนคนไทยที่มองหาประสบการณ์เวิร์คช็อปในบรรยากาศที่เงียบสงบและสร้างแรงบันดาลใจ

อันดับที่ 3: ขอนแก่น
ขอนแก่นเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคอีสานที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแหล่งรวมกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ วัฒนธรรม และธุรกิจ ซึ่งเวิร์คช็อปในขอนแก่นมักมีความเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น เช่น การทำเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้าไหม หรือแม้แต่เวิร์คช็อปที่ช่วยส่งเสริมธุรกิจชุมชน ซึ่งดึงดูดทั้งคนในพื้นที่และผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ

สัดส่วนประชากรที่สนใจ

Worlshop24.png

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือ Social Listening พบว่าสถิติที่ได้รับค่อนข้างน่าสนใจและอาจขัดกับความคาดหมายของหลายคน เพราะการพูดถึงเวิร์คช็อปบนโซเชียลมีเดียกลับพบในกลุ่มเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและสะท้อนถึงแนวโน้มพฤติกรรมของผู้ที่ให้ความสนใจกับกิจกรรมประเภทนี้

เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มที่พูดถึงเวิร์คช็อปมากที่สุดคือ เพศชายในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งอาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้เริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้เพิ่มเติม และการต่อยอดโอกาสทางอาชีพ เวิร์คช็อปที่เกี่ยวกับธุรกิจ ทักษะเฉพาะทาง และการสร้างเครือข่าย (Networking) มักได้รับความสนใจจากคนในวัยนี้ อีกทั้งยังมีกำลังซื้อสูง ทำให้มีแนวโน้มเข้าร่วมเวิร์คช็อปเพื่อพัฒนาตัวเองมากขึ้น

อันดับที่ 2 คือกลุ่มเพศชายอายุระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งอาจเป็นเพราะวัยนี้เป็นช่วงที่กำลังค้นหาตัวตน ทดลองสิ่งใหม่ๆ และเปิดรับประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยจะเป็นเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับงานคราฟต์ เทคโนโลยี หรือแม้แต่กิจกรรมที่ช่วยสร้างทักษะด้านดิจิทัล เช่น การตัดต่อวิดีโอ การทำคอนเทนต์ มักจะได้รับความนิยมในกลุ่มนี้ นอกจากนี้การเข้าร่วมเวิร์คช็อปยังเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจคล้ายกัน

อันดับที่ 3 คือประชากรเพศหญิงในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า เวิร์คช็อปที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับศิลปะ งานฝีมือ และไลฟ์สไตล์ เช่น การทำเครื่องประดับ การแต่งหน้าศิลปะ หรือเวิร์คช็อปเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งเวิร์คช็อปยังเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถพัฒนาทักษะเสริมที่อาจต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต

Step 4 - Summarize

Worlshop25.png

เมื่อพูดถึงเวิร์คช็อป หลายคนอาจนึกถึงกิจกรรมยอดนิยมอย่างการทำอาหาร ศิลปะ งานเย็บปักถักร้อย หรือการทำงานคราฟต์ต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวิร์คช็อปไม่ได้จำกัดอยู่แค่กิจกรรมเหล่านี้ ยังมีเวิร์คช็อปที่เฉพาะทางมากขึ้น ครอบคลุมทักษะที่หลากหลาย ตั้งแต่เทคโนโลยี ธุรกิจ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มคนที่สนใจพัฒนาตัวเองในด้านที่แตกต่างออกไป

ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้คนไม่ได้มองหาแค่กิจกรรมที่ทำคนเดียว แต่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรักได้ เวิร์คช็อปจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ร่วมกัน นอกจากจะได้ใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่าแล้ว ยังเป็นโอกาสดีในการกระชับความสัมพันธ์ผ่านการเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ เวิร์คช็อปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังกระจายไปตามแหล่งท่องเที่ยวและเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้สอนและผู้จัดงานเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมเวิร์คช็อปที่ให้ประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การทำเครื่องเงินที่เชียงใหม่ การย้อมผ้าครามที่สกลนคร หรือการทำขนมพื้นเมืองที่ภูเก็ต สิ่งเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ในรูปแบบที่จับต้องได้จริง

นอกจากนี้ การเข้าร่วมเวิร์คช็อปยังเป็นโอกาสในการพบเจอผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การแลกเปลี่ยนไอเดีย การต่อยอดความรู้ หรือแม้แต่การร่วมมือกันในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสายอาชีพเดียวกันหรือคนละสายอาชีพกันก็ตาม เวิร์คช็อปจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน รวมถึงถือเปิดโอกาสให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ให้กับทุกๆคนอีกด้วย

Step 5 - Make Solution & Idea

5 ทริคเด็ดยกระดับเวิร์คช็อปด้วย Branding

ในยุคที่เวิร์คช็อปกลายเป็นมากกว่ากิจกรรมสันทนาการ แต่เป็นทั้งประสบการณ์และโอกาสทางธุรกิจ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เวิร์คช็อปของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง และดึงดูดลูกค้าให้กลับมาอีก วันนี้เรามี 5 ทริคเด็ด ที่จะช่วยให้เวิร์คช็อปของคุณมีเอกลักษณ์ และน่าจดจำมากยิ่งขึ้น

1. สร้าง Story ให้เวิร์คช็อปของคุณ

แบรนด์ที่ดีไม่ใช่แค่เพียงการมีโลโก้หรือชื่อที่จำง่าย แต่ต้องมี เรื่องราว (Storytelling) ที่น่าสนใจด้วย ให้ลองถามตัวเองว่า “เวิร์คช็อปของคุณเกิดขึ้นเพื่ออะไร?” “คุณอยากให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกแบบไหน?” ตัวอย่างเช่น หากคุณจัดเวิร์คช็อปทำเครื่องหอมจากสมุนไพรไทย อาจเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และความตั้งใจในการสืบทอดวัฒนธรรมไทยผ่านกลิ่นหอม วิธีนี้จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

2. สร้างประสบการณ์ให้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก (Customer Experience)

คนที่มาเข้าร่วมเวิร์คช็อปไม่ได้ต้องการแค่ "ความรู้" แต่ต้องการ "ประสบการณ์ที่พิเศษ" ดังนั้น ให้ลองออกแบบบรรยากาศที่แตกต่างจากคนอื่นดู เช่น

  • การใช้สถานที่ที่เหมาะสม หรือสถานที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ มีเสน่ห์ไม่ซ้ำใคร เช่น จัดเวิร์คช็อปงานศิลปะในคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น หรือเวิร์คช็อปทำอาหารในบ้านไม้โบราณ
  • ทิ้งทวนด้วยของที่ระลึกที่ผู้ที่มาเข้าร่วมสามารถระลึกถึงเราได้อีกนาน โดยการแจกของที่ระลึกที่สื่อถึงแบรนด์ เช่น ผ้ากันเปื้อนหรือสมุดโน้ตที่มีโลโก้แบรนด์
  • เลือกใช้ Playlist เพลงที่เข้ากับกิจกรรม จะช่วยสร้างบรรยากาศ เช่น เพลง Lo-Fi สำหรับเวิร์คช็อปศิลปะ หรือเพลงอะคูสติกเบาๆ สำหรับเวิร์คช็อปทำขนม

3. ใช้ Influencer และ UGC (User-Generated Content) ให้เป็นประโยชน์

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง คอนเทนต์จากลูกค้า (UGC) หรือการรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เวิร์คช็อปของคุณ ลองให้ส่วนลดพิเศษสำหรับคนที่โพสต์รูปหรือรีวิวประสบการณ์จากเวิร์คช็อป พร้อมติดแฮชแท็กของแบรนด์ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการรับรู้และกระตุ้นให้คนอื่นสนใจมากขึ้น

4. ออกแบบ Branding ให้ชัดเจนในทุก Touchpoint

แบรนด์ที่แข็งแกร่งต้องมี ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเวิร์คช็อป สี โลโก้ ฟอนต์ ไปจนถึงสไตล์ของโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เช่น หากคุณจะจัดเวิร์คช็อปสไตล์มินิมอล โทนสีของแบรนด์ ก็ควรเป็นสีเอิร์ธโทน ภาพที่ใช้ควรดูอบอุ่น และข้อความควรเป็นแนวให้แรงบันดาลใจ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น

5. สร้าง Community และความสัมพันธ์ระยะยาว

จงอย่ามองว่าเวิร์คช็อปเป็นแค่กิจกรรมครั้งเดียว ลองสร้าง Community ที่ช่วยให้ลูกค้าอยากกลับมาอีก เช่น

  • กลุ่ม Facebook หรือ LINE OA สำหรับผู้เข้าร่วมเวิร์คช็อป ให้แลกเปลี่ยนไอเดีย หรือแชร์ผลงาน
  • สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า เช่น ส่วนลดสำหรับการลงทะเบียนครั้งต่อไป

กลยุทธ์ Marcom สำหรับธุรกิจเวิร์คช็อป: ใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้ใช้

การทำธุรกิจเวิร์คช็อปจำเป็นต้องมี Marketing Communication (Marcom) ที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าควรใช้แพลตฟอร์มไหน และกลยุทธ์อะไรที่เหมาะกับธุรกิจเวิร์คช็อปของคุณ

1. Facebook: ศูนย์กลางการโปรโมตและสร้าง Community

  • ลองใช้ Facebook Events ในการสร้างอีเวนต์ที่มีรายละเอียดครบถ้วน พร้อมภาพประกอบน่าสนใจ เพื่อดึงดูดคนสนใจและให้พวกเขาแชร์ไปยังเพื่อนๆ
  • ลองใช้ Facebook Group ในการสร้างกลุ่มสำหรับคนที่สนใจเวิร์คช็อป เช่น "Workshop Lover Thailand" หรือ "เรียนรู้สกิลใหม่ด้วยเวิร์คช็อป" เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดีย
  • ลองใช้ Facebook Live ในการทำไลฟ์ตัวอย่างกิจกรรม หรือ Q&A ให้คนสนใจได้รับข้อมูลก่อนสมัคร
  • ลองยิงแอดแบบ Custom Audience โดยใช้ Facebook Ads เจาะกลุ่มเป้าหมายที่สนใจพัฒนาทักษะใหม่ เช่น นักศึกษา, SME, คนทำงานสายครีเอทีฟ

2. Instagram: ดึงดูดสายอาร์ตและคนรุ่นใหม่ด้วยภาพสวยๆ

  • ใช้ภาพและวิดีโอคุณภาพสูง: โพสต์ภาพเวิร์คช็อปที่สวยงามดึงดูดคนดู และใช้ Reels โชว์บรรยากาศการเรียนที่น่าสนใจ
  • โพสต์ Infographic สรุปคอร์ส: ทำโพสต์อธิบายรายละเอียดคอร์สอย่างกระชับ พร้อม Call-to-Action ในการเวิร์คช็อปนั้นๆ
  • ใช้ Story และ Highlights: ลงเบื้องหลังการเวิร์คช็อป พร้อมทั้งอัปเดตตารางเรียน และรีวิวจากผู้เข้าร่วม
  • ใช้ Influencer หรือ UGC: ให้ผู้เข้าร่วม Workshop แท็ก IG ของคุณแล้วรีโพสต์นั้นแชร์ลง Story ของงาน

3. X (Twitter): โปรโมตกิจกรรมแบบ Real-Time

  • ใช้ Hashtag ให้เหมาะสมกับแท็คที่ต้องการจะสื่อถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์: เช่น #Workshop2025 #เรียนรู้สกิลใหม่ #Workshopสนุกๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
  • ทวีตอัปเดตแบบเรียลไทม์: แจ้งเตือนการเปิดรับสมัคร, โปรโมชันพิเศษ, หรือแจ้งข่าวเวิร์คช็อปเต็มแล้ว

สรุป

ธุรกิจเวิร์คช็อปที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่การสอนที่ดี แต่ต้องมี เรื่องราวที่น่าสนใจ การออกแบบประสบการณ์ที่แตกต่าง พร้อมทั้งการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด การสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ และการสร้าง Community ที่แข็งแกร่ง หากคุณสามารถทำ 5 สิ่งเหล่านี้ได้ เวิร์คช็อปของคุณจะไม่ใช่แค่กิจกรรมทั่วไป แต่จะกลายเป็น แบรนด์ที่ผู้คนอยากติดตามและเข้าร่วมซ้ำ

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะรู้สึกยังไม่พร้อมในการจัดเวิร์คช็อป ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรืออาจจะยังไม่ชำนาญในบางแพลตฟอร์ม แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Sellsuki อยากพาธุรกิจของคุณโตไปกับเรานะ เรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น บริการที่ปรึกษาธุรกิจการตลาดแบบครบวงจร (WizeMoves Consult) ผู้ช่วยจัดจำหน่ายออนไลน์ครบวงจร ดูแลครอบคลุมทุกขั้นตอนการขาย (WizeMoves e-Dis) บริการโฆษณาออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม (WizeMoves Ads) บริการดูแล LINE Official Account ครบวงจร (LINE Agency) และอื่นๆ อีกมากมายที่ Sellsuki มีพร้อมให้คุณ

สำหรับคนที่อยากได้ Data Research Insight เวอร์ชันเต็มของเดือนมกราคมนี้ สามารถดาวน์โหลดฟรี เพียงลงทะเบียนด้านล่างได้เลย!

และเพื่อไม่ให้พลาดความรู้และสาระสำคัญแบบนี้ก่อนใคร อย่าลืมกดติดตามน้องสุกิบนช่องทาง Facebook, Youtube, Instagram และ TikTok 

สำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการผู้ช่วยธุรกิจออนไลน์ และที่ปรึกษาธุรกิจมืออาชีพ ที่พร้อมพาธุรกิจของคุณเติบโตไปอีกขั้น Sellsuki เป็นมากกว่าเพื่อนคู่คิดที่คุณกำลังมองหา

เพราะเรามีบริการครบวงจรบนโลกธุรกิจออนไลน์ โดยสามารถตอบโจทย์ตรงจุดทุกความต้องการ เราพร้อมแล้วที่จะพาธุรกิจของคุณเติบโตไปกับเรานะ


แชร์

บทความนี้มีประโยชน์กดชอบเป็นกำลังใจให้เราได้
Like this article
Unlock the Power of Data
ดาวน์โหลดฟรี! คู่มือการวิจัยข้อมูล
เรียนรู้กลยุทธ์ เครื่องมือ และเคล็ดลับ
Unlock the Power of Data
ดาวน์โหลดฟรี! คู่มือการวิจัยข้อมูล
เรียนรู้กลยุทธ์ เครื่องมือ และเคล็ดลับ