Header-sellsuki.webp
S E L L S U K I

How To ออกแบบ Sale Page ดึงดูดลูกค้า ปิดการขายแบบเนียนๆ


25 Mar 2024

Share with :
0

Sale Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปิดการขาย สินค้าหรือบริการโดยเฉพาะ หน้าเว็บนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมสินค้า ที่บ่งบอกถึงรายละเอียดของสินค้าที่จะนำเสนอสินค้า ตอบคำถาม และโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

หัวใจสำคัญของเว็บไซต์ขายของ คือ การเข้าใจลูกค้า ดังนั้นหน้าเว็บควรเน้นไปที่ปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก นำเสนอวิธีการหรือสินค้าของแบรนด์ ว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร

Sale Page vs Landing Page ต่างกันอย่างไร

  • Sale Page มุ่งเน้นไปที่ “การปิดการขาย” โดยเน้นนำเสนอข้อมูลสินค้า รายละเอียด โปรโมชั่น รีวิว เพื่อโน้มน้าวใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และมีปุ่ม Call to Action ชัดเจน เช่น "ซื้อเลย" "สั่งซื้อ" "สมัครสมาชิก"
  • Landing Page มุ่งเน้นไปที่ “การสร้าง Conversion” หลากหลายรูปแบบ เช่น สมัครสมาชิก โหลด e-Book กรอกฟอร์มลงทะเบียน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน สมัครรับจดหมายข่าว หน้าเว็บนี้จะนำเสนอข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ Conversion นั้น ๆ และมีปุ่ม Call to Action ชัดเจน เช่น "สมัครรับข้อมูล" "ดาวน์โหลดฟรี" "ลงทะเบียน"

สร้าง Sale Page แบบยาวหรือแบบสั้นดี ?

คำถามนี้เป็นข้อถกเถียงมาตลาดหลายปีที่ผ่านมา แต่ความจริงแล้วความของหน้าเพจขายของจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

  • ราคาในการเสนอขายสินค้าหรือบริการ
  • ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณมีความสงสัยมากแค่ไหน
  • ความซับซ้อนในการเสนอขายของคุณ
  • ระดับการแข่งขันในตลาดหรืออุตสาหกรรมของคุณ

หากจะสรุปออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ คุณต้องรู้จักสินค้า และเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายคุณ เพื่อออกแบบหน้าเพจขายของให้ตอบโจทย์ลูกค้า และปิดการขายได้ในที่สุด

10 Steps สร้าง Sale Page ดึงดูดใจลูกค้า

Step 1 กำหนดเป้าหมาย

การกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของเว็บขายของ เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ชี้นำแนวทางในการสร้างและออกแบบเว็บเพจให้มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเขียนเนื้อหา (Copywriting) ไปจนถึงการออกแบบ (Design)

การเข้าใจเป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณบรรลุผลสำเร็จ ลองถามตัวเองว่า คุณอยากให้เว็บนี้ทำอะไร เช่น

  • เพิ่มยอดขาย
  • เพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิก
  • สร้างการรับรู้แบรนด์
  • กระตุ้นให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ดำเนินการ เช่น ดาวน์โหลดเอกสาร กรอกฟอร์ม หรือติดต่อ

เมื่อคุณทราบเป้าหมายแล้ว ให้กำหนด KPIs ที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้ บรรลุผลได้ และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น

  • เพิ่มยอดขายสินค้า X ชิ้นภายใน Y เดือน
  • เพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิก Z คนภายใน W เดือน
  • สร้างการรับรู้แบรนด์โดยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ A คนคลิกลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของเราภายใน B เดือน

Step 2 เข้าใจกลุ่มเป้าหมายและวิเคราะห์ตลาด

หัวใจ ของการสร้างเว็บขายของที่โดนใจและตอบโจทย์ลูกค้า คือ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการ Research กลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด จะช่วยให้คุณเข้าใจ Painpoint ของลูกค้า ค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาชอบและไม่ชอบ ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คืออะไร และเป้าหมาย ความต้องการ และความสนใจของพวกเขาเป็นแบบไหน

นอกจากนี้ คุณควรศึกษาว่า พวกเขากำลังใช้สินค้าของคู่แข่งอยู่หรือไม่ หรือกำลังมองหาสินค้าจากคู่แข่งอยู่ เมื่อคุณเข้าใจทุกรายละเอียด เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย คุณสามารถสร้างลูกค้าในอุดมคติจากข้อมูลเหล่านี้ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณนำเสนอการขาย ที่สามารถโน้มน้าวใจลูกค้า และเขียน Sale Copy ที่พูดถึงปัญหาของลูกค้าเป้าหมายโดยตรง และนำเสนอสินค้าของคุณที่สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้าย ศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่ง ว่ามีวิธีดึงดูดลูกค้าอย่างไร หาช่องโหว่ของคู่แข่ง และนำมาพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ดีกว่า

ตัวอย่าง

  • เว็บไซต์ขายเสื้อผ้า: Research ว่าลูกค้าชอบสไตล์เสื้อผ้าแบบไหน กำลังเผชิญปัญหาอะไรในการหาเสื้อผ้า เช่น หาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ยาก หาเสื้อผ้าที่ใส่สบายและดูดี
  • เว็บไซต์ที่ขายคอร์สออนไลน์: Research ว่าลูกค้าต้องการเรียนคอร์สออนไลน์เพื่ออะไร ต้องการพัฒนาทักษะด้านไหน กำลังเผชิญปัญหาอะไร เช่น ไม่มีเวลาเรียน หาคอร์สที่ตรงกับความต้องการไม่ได้

Step 3 เลือก Template ให้เหมาะสม

การเลือก Template ที่เหมาะสมกับแบรนด์และสินค้าของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ Template จะช่วยกำหนดโครงสร้างของเว็บขายของ และทำให้คุณรู้ว่าจะต้องวางองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น Headline, Testimonials ,Call to Action ,Sale Copy และองค์ประกอบอื่น ๆ ไว้ตรงไหน

นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มส่วนคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เพื่อตอบข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า และยังสามารถเขียน SEO จากส่วนนี้ได้ เนื่องจากคุณสามารถอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าได้

Step 4 ออกแบบ Headline ให้ Impact

Headline เปรียบเสมือนประตูของเว็บไซต์ขายของ เป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าจะเห็น ดังนั้นต้องออกแบบให้ดึงดูดลูกค้าเข้าชมเว็บไซต์ต่อ

เทคนิคการออกแบบ Headline ที่น่าสนใจ

  • เน้นคุณค่าและคุณประโยชน์ ของสินค้าหรือบริการ
  • ใช้คำที่ Impact, Powerful และกระตุ้นอารมณ์ ของลูกค้า
  • ตั้งคำถาม ดึงดูดความสนใจ
  • ใช้ Testimonials หรือรีวิวจากผู้ใช้จริง

ตัวอย่าง Headline ที่น่าสนใจ

  • “สินค้า X ช่วยให้คุณ Y ได้อย่างไร?”
  • “บอกลาปัญหา Z ด้วยสินค้า A”
  • “ลูกค้า B บอกอะไรเกี่ยวกับสินค้า C ของเรา?”
  • “D คน เปลี่ยนชีวิตด้วยสินค้า E”

การออกแบบ Headline ที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า และปิดการขายได้ในที่สุด

Step 5 เขียน Sale Copy ให้โดนใจลูกค้า

องค์ประกอบสำคัญของการเขียน Sale Copy คือ การโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมายให้เกิดการซื้อขาย ซึ่งแนวทาง ที่จะช่วยให้ Sale Copy ของคุณมีประสิทธิภาพ คือ การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric)

หมายความว่า แทนที่จะเขียนแค่รายละเอียดสินค้าว่ามีประโยชน์อย่างไร แต่ควร เน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า และนำเสนอว่าสินค้าของเราช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร

เทคนิคการเขียน Sale Copy ที่ดึงดูดใจ

  • เขียนให้สั้น กระชับ เข้าใจง่าย: เพราะคนส่วนใหญ่จะอ่านเนื้อหาแบบคร่าวๆ
  • เน้นประเด็นสำคัญ: ดึงดูดความสนใจและโน้มน้าวใจลูกค้า
  • ใช้ภาษาพูด: สร้างความรู้สึกใกล้ชิด
  • ใช้คำเรียกลูกค้าว่า “คุณ” และใช้คำเรียกแบรนด์ “เรา” เพื่อให้แบรนด์ดูเหมือนมีชีวิต
    การเขียน Sale Copy ที่ดี จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าของคุณ และโน้มน้าวใจให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าได้อย่าง

ตัวอย่าง

  • แทนที่จะเขียน: "สินค้า X ช่วยให้ผิวของคุณขาวกระจ่างใส"
  • ให้เขียน: "คุณอยากมีผิวขาวกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย สินค้า X ช่วยให้คุณมีผิวที่คุณใฝ่ฝันได้"

Step 6 ออกแบบ Visuals ให้น่าสนใจ

การออกแบบเว็บเพจขายของให้น่าสนใจ ดึงดูดลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายประการ เริ่มต้นจากการออกแบบหน้าเว็บให้เรียบง่าย สวยงาม ใช้งานง่าย

อาจจะมีการใช้รูปภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพและมีความคมชัด ในการแสดงวิธีการใช้สินค้า อธิบายคุณสมบัติ หรือประโยชน์ของสินค้า รวมถึงการนำเสนอภาพและวีดีโอรีวิวจากผู้ใช้จริง ที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Visuals ควรคำนึงถึงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ และควรหลีกเลี่ยง การใช้ไฟล์ขนาดใหญ่ หรือ Infographic ที่คุณภาพสูงเกินไป หรือจำนวนมากเกินไปเพราะจะทำให้ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ลดลง

Step 7 วาง CTA ให้ชัดเจน

CTA หรือ Call To Action หมายถึง คำกระตุ้นการตัดสินใจ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ดำเนินการตามที่คุณต้องการ ฉะนั้นการวาง CTA ให้ชัดเจนจะนำทางผู้ชมเว็บไซต์ให้ทำตาม Journey ที่เรากำหนดไว้ได้

องค์ประกอบสำคัญของ CTA ประกอบด้วย ข้อความที่น่าสนใจ กระตุ้นให้คลิก การออกแบบที่โดดเด่น และจำนวนที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้เข้าชมเว็บรู้สึกเหมือนถูกขายของตลอดเวลา

และอย่าลืมทดสอบอีกครั้งก่อนที่คุณจะเปิดหน้าการขายเพื่อให้แน่ใจว่าลิงก์ทั้งหมดฝังไว้อย่างถูกต้อง และควรแสดงผลอย่างถูกต้องบนทุกอุปกรณ์

Step 8 ใช้ Trigger Words หรือคำกระตุ้น

การใช้คำกระตุ้นหรือ Trigger Words เช่น รับประกัน, การันตี, พิเศษ, ตอนนี้, ใหม่, ฟรี, พิสูจน์แล้ว หรือภายในวันนี้ สามารถดึงดูดความสนใจให้ลูกค้าทำในสิ่งที่เราต้องการได้ทันที โดยสามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้ได้กับ Headline และ CTA

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้คำกระตุ้นที่มาจนเกินไป แม้ว่าจะเป็นเว็บเพจที่ใช้ในการขายของก็ตาม เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ขอบและรำคาญได้

Step 9 นำเสนอ Testimonials หรือรีวิวจากลูกค้าจริง

โดยทั่วไปแล้วผู้คนมักรู้สึกไว้ใจและเชื่อมั่นในสินค้าจากการเห็นรีวิวจากผู้ใช้จริงที่มีประสบการณที่ดี ซึ่งข้อมูลจาก VWO by WikiJob เผยว่าการรีวิวหรือ Tesimonails สามารถช่วยใเพิ่มยอดขายได้ถึง 34%

สำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ การทำงานร่วมกับ Influencer เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการโปรโมท ด้วยการส่งสินค้าให้พวกเขาทดลองใช้ และเขียนรีวิวหรือถ่ายวีดีโอ เพื่อบอกเล่าความประทับใจหลังจากการใช้งานได้

Step 10 ทดสอบ Sale Page เป็นประจำ

แม้ว่าวัตถุประสงค์หลักของของเว็บขายของ คือการขายสินค้าและบริการ แต่การสร้างเว็บขายของไม่ใช่งานที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ คุณต้องทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาจุดที่ต้องปรับปรุง โดยสามารถใช้ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบเวอร์ชั่นต่างๆ ของเว็บ และหาองค์ประกอบที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion ได้ดีที่สุด ซึ่งองค์ประกอบหลักที่สามารถทดสอบด้วย A/B Testing ได้คือ Headline, CTA, ข้อเสนอ และการออกแบบ Visuals

การสร้าง Sale Page อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์ แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะ WizeMoves MarTech เป็นผู้ช่วยจัดการเว็บไซต์ให้คุณได้ ด้วยความสามารถจากทีมงานมืออาชีพ และนวัตกรรม MarTech ที่ทันสมัย สามารถช่วยธุรกิจสร้างเว็บขายของที่โดนใจ ดึงดูด และตอบโจทย์ลูกค้าของคุณได้ เริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย ออกแบบกลยุทธ์ วางแผนการตลาด ออกแบบเว็บไซต์ และดูแลเว็บไซต์ของคุณให้อยู่เหนือคู่แข่ง พร้อมปิดการขายได้ตลอดเวลา

และนี่เป็นอีกหนึ่งสาระสำคัญสำหรับเจ้าของแบรนด์และเจ้าของธุรกิจที่ควรรู้ หลังจากเข้าสู่การขายของออนไลน์ น้องสุกิยังมีเนื้อหาสำคัญอื่นๆ ที่พร้อมจะแบ่งปันเพื่อให้คุณสามารถนำความรู้ไปต่อยอด และพัฒนาธุรกิจออนไลน์ให้เติบโตเหนือคู่แข่ง เพียงแค่กดติดตาม Facebook, Youtube และ TikTok ของ Sellsuki เพื่อไม่ให้พลาดอัปเดตสาระสำคัญก่อนใคร